โดย ออกญา เพชรบุรี
ในยุคของ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลถนอม
กิตติขจร นับว่าเป็นยุคทหารอย่างแท้จริง กองทัพในยุคนั้นๆ
มีอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยตนเอง ไม่ถูกควบคุมโดยกษัตริย์ภูมิพลอย่าง
เช่นในปัจจุบัน ทำให้กษัตริย์ภูมิพลหวั่นเกรง
จึงทำการกำจัดตัดรากถอนโคนทั้ง 3 จอมพล ยุคเผด็จการทหารจึงสิ้นสุดลง
หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516
จากนั้นถึงแม้จะมีการรวมกลุ่มกันของทหารรุ่นต่างๆ เช่น จปร.5 หรือ จปร.7 ก็ไม่มีอำนาจควบคุมทั้งกองทัพเหมือนยุค 3 จอมพล จึงไม่สามารถจะย้อนยุคกลับไปเป็นเช่นเดิมได้ แม้ยุคของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีบารมีควบคุมกองทัพได้อย่างเกือบสมบูรณ์ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ก็เป็นเพียง ผู้มีบารมีภายใต้การบงการของกษัตริย์ภูมิพลเท่านั้น
เมื่อระบอบกษัตริย์ภูมิพลสามารถอยู่รอดปลอดภัยผ่านยุคเผด็จการทหารมาได้ อำนาจในการควบคุมกองทัพอย่างแท้จริงจึงอยู่ที่กษัตริย์ภูมิพล กลับไปสู่ยุคเผด็จการศักดินา เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ สังคมไทยจึงล้าหลังทางความคิดยิ่งกว่ายุคเผด็จการทหารเสียอีก
จะเห็นได้จาก สปอร์ตโฆษณาชวนเชื่อ ความดี ความเก่ง ของกษัตริย์ภูมิพล
ตามสื่อต่างๆ ยกย่องกันจนเป็นเป็นยอดมนุษย์ เช่น เป็นกษัตริย์เกษตร
เป็นกษัตริย์อัจฉริยะที่รอบรู้ทุกสิ่ง
เป็นนักประดิษฐ์เอกของโลก นักดนตรีเอกของโลก นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก
นักกีฬาเอกของโลก เหล่านี้เป็นต้น กระทั่งยกย่องกันเลยเถิดว่าเป็น King of The king กษัตริย์แห่งโลกไปเลย อีกหน่อยก็คงจะเป็นกษัตริย์แห่งจักรวาลเป็นแน่แท้
ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดา เมื่อถูกโฆษณาชวนเชื่อยกย่องเกินจริงอย่างนี้ จะต้องรู้สึกอับอาย จนต้องออกมาห้ามปราม แต่กษัตริย์ภูมิพลไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นคนประเภทเพี้ยนอย่างหนัก ไม่เคยรู้สึกอับอาย
ภาพตามเสาไฟฟ้า ซุ้มประตูโรงเรียน หน้า อบต. หน้าเทศบาล และสำนักงานราชการต่างๆทั่วประเทศ ยิ่งกว่าป้ายหาเสียงของนักการเมืองต่างๆ ทำให้ฝรั่งต่างชาติถามว่า รูปคนนี้เขาสมัครรับเลือกตั้งเป็นอะไร และเบอร์อะไร ฝรั่งอีกคนก็ตอบว่านายคนนี้เขาเบอร์ 9
คงจะเป็นกษัตริย์ประเทศเดียวในโลก ที่โฆษณาหาเสียงอย่างนี้ แต่ไม่ใช่แข่งกับใคร เบอร์ไหน แต่เป็นการแข่งกับความเสื่อมของตัวเอง
เพราะกษัตริย์ภูมิพลใช้ความโหดเช่นฆ่าประชาชนหลายครั้งหลายหน เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็เป็นละครที่ภูมิพลเขียนบทขึ้นมายืมมือสร้างขบวนการนักศึกษาประชาชนขึ้นมา เพื่อจัดการกับกลุ่มจอมพลถนอม จอมพลประภาส โดยใช้ชีวิตประชาชนเป็นเหยื่อ
6 ตุลาคม 2519 ก็บงการให้ลูกสมุนที่ถูกปลุกปั่นอย่างเต็มที่ ล้อมปราบ ล้อมฆ่านักศึกษาและประชาชน ที่ตนเองหลอกใช้มาแล้ว จนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากมาย
พฤษภา 2535 ก็ฝีมือภูมิพล เพื่อกำจัดกลุ่ม จปร. 5 ที่เรืองอำนาจขึ้นมา ใช้ประชาชนเป็นเหยื่อ
10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเสื้อแดง เสียชีวิต 100 ศพ และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ก็เป็นการบงการของกษัตริย์ภูมิพลเช่นกัน และการได้มาซึ่งตำแหน่งกษัตริย์ ก็เป็นการฆ่าพี่ชายของตนเองชิงตำแหน่งมา
การกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตต่างๆเหล่านี้ ปิดบังไม่มิด เพราะสิ่งที่กษัตริย์ภูมิพลทำ มันคือการสร้างความผิดใหม่เพื่อลบล้างความผิดเก่า พอนานวันเข้าก็เลยเป็นดินพอกหางหมู ทำให้คนไทยตาสว่าง ความเสื่อมของกษัตริย์ภูมิพลจึงนับวันจะมากขึ้น กษัตริย์ภูมิพลจึงต้องโหมโฆษณาตัวเองอย่างหนัก เพื่อต่อสู้กับความเสื่อมของตัวเอง
แต่ยิ่งดิ้นยิ่งหนีก็ยิ่งหนัก บวกกับปัญหาภายในของตัวเอง ได้วางเอาไว้ในปี 2515 ที่สถาปณาลูกชายเป็นองค์รัชทายาท แต่ต่อมาไม่ปลื้มกับลูกชาย ในปี 2519 จึงแก้กฎมณเฑียรบาลให้ลูกสาวเป็นกษัตริย์ได้ และในปี 2520 ก็สถาปณาลูกสาวให้เป็นรัชทายาทองค์ที่ 2 ทำให้พี่กับน้องต้องชิงดีชิงเด่นกัน จนประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย น้องฆ่าพี่ หรือพี่ฆ่าน้องเพื่อชิงบัลลังก์อย่างที่ตนเคยทำมาก่อน ปัญหานี้ปะทุขึ้นเมื่อกษัตริย์ภูมิพลป่วยหนักใกล้ลาโลกในปัจจุบัน และเป็นที่มาของการยึดอำนาจในครั้งนี้ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะคนเสื้อแดงมองออกถึงความขัดแย้งแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างพี่ชายกับน้องสาว การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ถูกมองว่าเป็นเกมส์แย่งชิงบัลลังก์กษัตริย์ ไม่ใช่แย่งชิงอำนาจการเป็นรัฐบาลเท่านั้น
ถึงขนาดพูดกันเป็นนัยว่า ประธานกลุ่ม กปปส.ที่อยู่เบื้องหลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็คือเทพผมยุ่งพุงโรขาถ่างนั่นเอง และเป็นคนจ่ายน้ำเลี้ยงที่ไม่มีวันหมด บางข่าวบอกว่าขนทองคำที่ยักยอกจากพระเจ้าซาร์แห่งอิหร่านที่ฝากของไว้ ไปขายที่ประเทศอินเดียหลายตัน เอามาจ่ายเป็นท่อน้ำเลี้ยงแก่ ม๊อบ กปปส.
คนเสื้อแดงจึงตอบโต้ด้วยการสนับสนุนพี่ชายด้วยการทำหนังสือฏีการ้องทุกข์ถึงกษัตริย์ภูมิพลให้แต่งตังสมเด็จพระบรมโอรสสาธิราช เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และมีการทำเสื้อ เรารักพระบรมฯ ทั้งขายและแจกจ่ายไปทั่วประเทศมากมาย จนกลายเป็นกระแสแรงขึ้น อีกทั้งคนเสื้อแดง นปช.ก็ได้รับอนุญาตให้ไปจัดตั้งเวทีที่ถนนอักษะ ที่อยู่หน้าวังของสมเด็จพระบรมฯ เท่ากับเป็นการส่งสัญญานถึงการสนับสนุนกัน จึงเท่ากับเป็นการเร่งให้กษัตริย์
ภูมิพลต้องสั่งให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงมือยึดอำนาจ
ขจัดทั้งคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และลูกชายของตนเอง
เพื่อสถาปณาเทพผมยุ่งพุงโรขาถ่าง ลูกสาวขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลต่อไป
แก้เคล็ดคำทำนายที่ว่า ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง 9 รัชกาลเท่านั้น
ดังนั้นรัชกาลที่ 10 จึงต้องเป็นผู้หญิง และเทพผมยุ่งพุงโรขาถ่างก็คิดว่าตนนี้แหละเป็นนารีขี่ม้าขาว
ดังนั้นการยึดอำนาขของ พลเอกประยุทธิ์ จันทร์โอชา จึงเป็นไปตามแผนที่กษัตริย์ภูมิพล
วางไว้ หาใช่เกิดจากความต้องการของ พลเอกประยุทธิ์ แต่อย่างใด
ต่างจากการยึดอำนาจของ จอมพลป. พิบูลย์สงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ
จอมพลถนอม กิตติขจร ที่ยึดอำนาจตามความต้องการของตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ พลเอกประยุทธิ์ จันทร์โอชา จึงไม่สามารถจะนำประเทศไทยย้อนยุคกลับไป สู่ยุคเผด็จการทหารอย่างในอดีตได้ เป็นได้แค่มีอำนาจช่วงสั้นๆ เป็นกองทัพหลงยุคเท่านั้น ตัวพลเอกประยุทธิ์ จันทร์โอชา เกษียณอายุราชการเมื่อไหร่อำนาจบารมีก็หมด
แต่ถ้าขืนต่ออายุราชการให้ตัวเองพร้อมทั้งควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในกองทัพ นำไปสู่ความสั่นคลอนบัลลังก์ของกษัตริย์ภูมิพลด้วย
ย้อนยุคหรือหลงยุค อีกไม่นานความจริงก็ปรากฏ จากโลกยุคโลกาภิวัวัฒน์
แต่กษัตริย์ภูมิพล ก็บีบประยุทธ์ จันทร์โอชา
จะพากลับไปสู่ยุคสังคมเกษตรล้าหลัง เป็นจริงได้หรือ
คนไทยทั้งชาติ โปรดติดตามดูอย่ากระพริบตา
ออกญา เพชรบุรี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น