You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ข้อเสนอจากโจโควี “อินโดนีเซียต้องปฏิวัติวิธีคิดของคนในชาติ”

นายโจโค วิโดโด (Joko Widodo) หรือ “โจโควี” (Jokowi) ว่าที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนต่อไป ได้เขียนบทความลงเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ Kompass ของอินโดนีเซียเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ในช่วงที่เขาลงรับสมัครเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานาธิบดี โดยโจโควีได้เสนอให้อินโดนีเซียต้อง “ปฏิวัติวิธีคิด” ของคนในชาติเพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของประเทศ และเป็นการชดเชยข้อบกพร่องของกระบวนการปฎิรูปประเทศหลังสมัยซูฮาร์โต ที่เน้นไปในเชิงสถาบันทางการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่กลับละเลยคุณค่าความเป็นมนุษย์ สังคม วัฒนธรรมของอินโดนีเซียลงไป
แนวทางของ โจโควี คือการสร้างระบบการเมืองที่โปร่งใสมากขึ้น พึ่งพาตัวเองได้ในเชิงเศรษฐกิจ มีความมั่นคงทั้งด้านอาหารและพลังงาน ปรับปรุงระบบการศึกษาและสาธารณสุข เน้นการจ้างงานในประเทศ ลดการเผชิญหน้ากันของกลุ่มศาสนาต่างๆ ดังที่เกิดขึ้นมาในยุคของประธานาธิบดี Yudhoyono ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
Jokowi

การปฏิรูปวิธีคิดของอินโดนีเซีย (Indonesia Mental Revolution)

บทความแปลจากบทแปลภาษาอังกฤษที่เผยแพร่ใน The Establishment Post
อินโดนีเซียกำลังเผชิญสภาวะย้อนแยงที่เหล่าผู้นำประเทศต้องหาวิธีแก้ไข หลังจากการปฏิรูปประเทศเมื่อ 16 ปีก่อน (หมายถึงการปฏิรูปหลังการโค่นประธานาธิบดีซูฮาร์โตในปี 1998 – ผู้แปล) ทำไมสังคมอินโดนีเซียจึงเติบโตขึ้นอย่างไร้ทิศทาง
ระหว่างปี 1998-2014 เรามีประธานาธิบดีทั้งสิ้น 4 คน ตั้งแต่ BJ Habibie, KH Abdurrahman Wahid, Megawati Sukarnoputri จนมาถึงประธานาธิบดีคนปัจจุบัน Susilo Bambang Yudhoyono ประเทศอินโดนีเซียเติบโตขึ้นอย่างมากทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมือง ประเทศเติบโตผ่านการปฏิรูปภายใต้รัฐบาลประชาธิไตยที่มาจากการเลือกตั้ง
อินโดนีเซียรุ่งเรืองจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ สถิติล่าสุดจากธนาคารโลกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 บอกว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศอันดับ 10 ของโลกในแง่ขนาดของเศรษฐกิจแล้ว เรามาถึงเป้าหมายนี้ก่อนแผนการของประธานาธิบดี Yudhoyono ที่ตั้งใจว่าจะต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2025 หลายปี ส่วนในแง่การเมือง ประชาชนอินโดนีเซียมีสิทธิและเสรีภาพในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนผ่านผู้นำผ่านกระบวนการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง
แต่ในอีกด้าน เราเห็นและสัมผัสได้ว่าสังคมอินโดนีเซียเติบโตขึ้นอย่างสับสน ดังจะเห็นได้จากการประท้วงบนท้องถนนในหลายพื้นที่ รวมถึงบนสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ อาการลักษณะนี้บอกอะไรกับเรา?
ผู้นำและนักคิดของอินโดนีเซียไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ไม่สงบและความ วุ่นวายของมวลชนบนท้องถนนได้โดยง่าย เพราะในอีกด้าน อินโดนีเซียได้รับการยกย่องจากประชาคมโลกในแง่การปฏิรูปการเมือง ประชาธิปไตย และพัฒนาการทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
ผมขอแสดงมุมมองผ่านบทความนี้ว่าประเทศกำลังมีปัญหาอะไร และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบใหม่ (a new paradigm) ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองหรือการพัฒนา มุมมองของผมมาจากการสังเกตและประสบการณ์ในฐานะนายกเทศมนตรี Surakarta และผู้ว่าราชการ Jakarta ดังนั้นก็ขออภัยล่วงหน้าถ้ามุมมองนี้มีข้อบกพร่องใดๆ

ข้อจำกัดของสถาบันทางการเมือง

กระบวนการปฏิรูปอินโดนีเซียเริ่มขึ้นหลังจากการล่มสลายของระบบ Suharto ในปี 1998 โดยแกนหลักของการปฏิรูปเน้นไปที่ “สถาบัน” ต่างๆ ของประเทศ แต่กลับไม่ได้สนใจเรื่อง “กระบวนทัศน์” (paradigm) “ทัศนคติ” (mindset) หรือ “วัฒนธรรมทางการเมือง” (culture of politics) ของอินโดนีเซียมากนัก ดังนั้นการพัฒนาอินโดนีเซียให้ได้ผลและยั่งยืน จึงจำเป็นต้อง “ปฏิวัติความคิด” ของคนในชาติด้วย (mental revolution)
การพัฒนาประเทศจะไม่ได้ผลเลยถ้าเราสนใจเฉพาะกลไกเชิงสถาบัน แต่ไม่ปรับวิธีคิดหรือวิธีการทำงานของ “คน” ที่ขับเคลื่อนสถาบันต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าระบบของสถาบันทางการเมืองจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ถ้าคนในสถาบันไม่มีประสิทธิภาพที่ดีพอจนบริหารงานผิดพลาด ก็ย่อมสร้างความสูญเสียให้แก่ประเทศชาติ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของอินโดนีเซียตั้งแต่ได้เอกราช เราเห็นตัวอย่างการบริหารงานผิดพลาดมาซ้ำแล้วซ้ำอีกเสมอ
อินโดนีเซียแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 1945 โดยตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาหลายชุด ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น (Corruption Eradication Commission) ด้วย นอกจากนี้เรายังริเริ่มระบบท้องถิ่นปกครองตัวเอง ปรับปรุงกฎหมายทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น สืบทอดการเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น กระบวนการเหล่านี้ทั้งหมดช่วยให้เราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ตรวจสอบได้มาก ขึ้น
แต่ในอีกด้าน ยังมีวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมหลายอย่างที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัย Suharto ทั้งเรื่องคอร์รัปชั่น การไม่ยอมรับความหลากหลายของประชากร ความเห็นแก่ตัว การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา การละเมิดกฎหมาย ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้ยังสืบทอดมาถึงอินโดนีเซียในยุคปัจจุบัน
การคอร์รัปชั่น ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อินโดนีเซียเกือบล่มสลายในวิกฤตเศรษฐกิจปี 1998 จนต้องรับเงินช่วยเหลือจาก IMF แม้ว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นจะทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม การคอร์รัปชั่นก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนปัญหาอื่นๆ ทั้งการไม่ยอมรับความหลากหลาย ความละโมบต่อสมบัติจนต้องละเมิดกฎหมาย ก็ยังสืบทอดมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ปัญหาเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การปฏิรูปที่เน้นเฉพาะกลไกเชิงสถาบันนั้นไม่พอเพียงต่อการขับเคลื่อนอินโดนีเซียไปข้างหน้าอีกแล้ว

ปฏิวัติวิธีคิด (Mental Revolution)

การสร้างชาติอินโดนีเซียมักนำหลักการด้านเสรีนิยม (liberalism) มาประยุกต์ใช้ แต่หลักการนี้มีความขัดแย้งกับวัฒนธรรมและค่านิยมดั้งเดิมของอินโดนีเซีย นี่คือเวลาที่อินโดนีเซียควรแก้ไขปัญหานี้ เราไม่ต้องหยุดกระบวนการปฏิรูปประเทศที่แล้วๆ มา แต่ควร “ปฏิวัติวิธีคิด” ของคนอินโดนีเซียใหม่ สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ สร้างวัฒนธรรมทางการเมือง แนวทางการพัฒนาประเทศแบบใหม่ที่มีความเป็นมนุษย์ สอดคล้องกับวัฒนธรรม Nusantara ของหมู่เกาะอินโดนีเซียมากขึ้น
การเลือกใช้คำว่า “ปฏิวัติ” หรือ revolution ไม่ได้เกินเลยไป เพราะอินโดนีเซียจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในเชิงวัฒนธรรม การเมือง เลิกแนวทางแย่ๆ ที่สืบทอดมาจากสมัย Suharto อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปเชิงความคิดมีข้อแตกต่างจากการปฏิวัติในเชิงกายภาพ เพราะไม่ต้องมีกระบวนการเสียเลือดเนื้อ แต่จำเป็นต้องใช้พลังเชิงความคิดและจิตวิญญาณ รวมถึงการสนับสนุนจากบรรดาผู้นำประเทศ
เราจะสืบทอดแนวทาง Trisakti Bung Karno หลักการ 3 ข้อที่อดีตประธานาธิบดี Soekano พูดไว้เมื่อปี 1963 ว่าอินโดนีเซียจะต้อง
  • เป็นเอกราชทางการเมือง
  • พึ่งพาตัวเองได้ในทางเศรษฐกิจ
  • มีคุณค่าเชิงสังคม-วัฒนธรรมของตัวเอง
นอกจากนี้เรายังต้องเคารพคุณค่าของ “ประชาชน” ตาม Pancasila หลักปรัชญาก่อตั้งประเทศห้าข้อ ซึ่งข้อที่สี่ได้ระบุชัดว่าต้องเคารพพลังของประชาชนผ่านกระบวนการ ประชาธิปไตย ผู้นำทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติถูกคัดเลือกผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงต้องทำงานเพื่อประชาชนทุกคน เราต้องสร้างระบอบการเมืองที่ตรวจสอบได้ ปราศจากการคอรัปชั่นและการคุกคามประชาชน
ช่วงหลังเราเห็นการเลือกตั้งมีเรื่องเงินเข้ามายุ่งเกี่ยวมากขึ้น การซื้อเสียงเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของประเทศ เราต้องปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกตัวแทนทางการเมือง ให้มาจากความสามารถและประวัติการทำงาน มากกว่าจะเป็นฐานะหรือความเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจแต่เดิม
เรายังต้องปรับปรุงระบบราชการให้สะอาด เชื่อถือได้ มีศักยภาพ เพื่อทำงานตอบโจทย์ของประชาชนและรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องทำหน้าที่ดูแลประชาชนให้ได้ตามกฎหมาย ส่วนกองทัพแห่งชาติอินโดนีเซียก็ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่ากัน เพราะต้องปกป้องดินแดนรวมถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสาธารณรัฐ
ในทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซียต้องหนีให้พ้นการพึ่งพาเงินลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แนวทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ผ่านๆ มาทำให้อินโดนีเซียติด “กับดัก” การพึ่งพาเงินลงทุนต่างชาติ และเสียทรัพยากรธรรมชาติให้อยู่ภายใต้การครอบครองของบริษัทข้ามชาติ
การปฏิรูปประเทศตลอด 16 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารเศรษฐกิจอินโดนีเซียมากนัก รัฐบาลเปิดให้นำเข้าสินค้าจากต่างชาติได้ง่าย ผู้นำระดับสูงของประเทศสนใจแต่การหารายได้ระยะสั้น โดยไม่สนใจผลกระทบระยะยาวว่าจะทำให้ชาวนาของอินโดนีเซียอยู่ไม่ได้ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะเราเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แต่กลับต้องนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ ดังนั้นอินโดนีเซียจำเป็นต้องยืนได้ด้วยขาของตัวเองในทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องตามหลัก Trisakti อยู่แล้ว เราต้องมีความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน สองเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมีแผนการและกำหนดเวลาที่ชัดเจน วัดผลได้ ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกจากอาหารและพลังงาน เรายังสามารถใช้การนำเข้า-ส่งออกเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจได้ต่อไป
การลงทุนจากต่างชาติเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เงินลงทุนส่วนใหญ่ไปอยู่ในอุตสาหกรรมที่เน้นเงินทุนและกำไร ไม่ได้เน้นการจ้างงาน เราจึงต้องทบทวนนโยบายด้านการลงทุนใหม่เช่นกัน
หลักการข้อที่สามของ Trisakti กล่าวถึงการสร้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์เชิงสังคมของอินโดนีเซีย คุณค่าความเป็นอินโดนีเซียเริ่มหดหายเมื่อเผชิญกับโลกาภิวัฒน์และความก้าว หน้าทางเทคโนโลยี เราไม่ควรให้ประชาชนของเราสูญเสียวัฒนธรรมเดิมไปกับกระแสของวัฒนธรรมโลก ที่อาจไม่สอดคล้องกับคุณค่าดั้งเดิมของเรา
ระบบการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องผลักดันเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของคนอินโดนีเซีย ในฐานะที่เป็นชาติอารยะและรุ่มรวยวัฒนธรรม เคารพคุณค่าทางศาสนา อินโดนีเซียต้องสร้างโครงการที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบการศึกษาและสาธารณ สุขให้สำเร็จ

เราจะเริ่มกันอย่างไร

ถ้าคนอินโดนีเซียเห็นพ้องกันว่าเราต้อง “ปฏิวัติวิธีคิด” แล้ว คำถามต่อไปคือเราจะเริ่มต้นกันอย่างไร คำตอบอยู่ที่ตัวเราเอง เราต้องเริ่มจากตัวเอง ครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน จากนั้นจึงค่อยขยายไปยังชุมชนและรัฐ
การปฏิวัติวิธีคิดจำเป็นต้องเป็นการเคลื่อนไหวระดับชาติ เราทุกคนต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงอินโดนีเซียให้เป็นประเทศเสรี ยุติธรรม และเจริญรุ่งเรือง เราต้องกล้าควบคุมอนาคตของเราเองภายใต้พรของพระอัลเลาะห์ เพราะว่าพระอัลเลาะห์จะไม่ช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาของประเทศไหน จนกว่าคนของประเทศนั้นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผมเริ่มการเคลื่อนไหวนี้ตั้งแต่เป็นนายกเทศมนตรี Surakarta และทำงานต่อเนื่องเมื่อได้เป็นผู้ว่าราชการ Jakarta เท่าที่ผมทราบ เพื่อนที่คิดแบบเดียวกันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อ “ปฎิวัติวิธีคิด” ในพื้นที่อื่นๆ ผมหวังว่าแนวทางนี้จะพัฒนาตัวเองเป็นพลังในระดับชาติ เฉกเช่นเดียวกับการปฏิวัติอินโดนีเซียให้มีเอกสาร การปฏิวัติอินโดนีเซียไม่ได้สิ้นสุดลง แต่การปฏิวัติวิธีคิดกำลังเริ่มต้นขึ้นต่างหาก

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น