You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันที่ 21 มิ.ย.57 แฉ.. มีผู้หลักผู้ใหญ่โทรขอให้คดีเสี่ยโจ้เป็นคดีเบา

สืบเนื่องจากทหารจับกุม นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ปัตตานี อายุ 44 ปี ผู้กว้างขวางขบวนการค้าของเถื่อนจังหวัดชายแดนไต้ และค้นเจอบัญชีจ่ายส่วยให้นักการเมือง และหน่วยราชการหลายแห่งทั่วประเทศ เดือนละกว่า 16 ล้านบาท เงินหมุนเวียนอีกวันละกว่า 100 ล้านบาท นั้น

ทหารบุกค้นครั้งก่อน เจอหลักฐานเป็นตรายางปลอมของหน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้า-ออก ตามด่านระหว่างประเทศ แทบทุกด่านในประเทศไทย และทหารยังบุกตะลุยต่อไม่หยุด ค้นห้องนอนเขาเจอเงินอีกกว่า 100 บาท ค้นเรือ 5 ลำของเสียโจ้ที่ท่าเรือปัตตานี เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมอีก

ในอดีต เสี่ยโจ้ เคยถูกจับในคดีค้าน้ำมันเถื่อน หวยเถื่อน ไม้เถื่อน โต๊ะพนันฟุตบอล และหลีกเลี่ยงภาษี สรรพากร หลายครั้ง..อะไรเถื่อนๆ ผิดกฎหมายหมอนี่ทำหมด แต่ก็สามารถอยู่อย่างลอยนวล โดยไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด เคยถูก DSI จับแล้วริดสีดวงดองคดีจนหมดอายุความ แลกกับสีม่วงๆ เทาๆ หลักเลขสิบหลักร้อยล้าน

ขณะนี้ ทหารยังควบคุมตัวเขาอยู่ที่ ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเสี่ยโจ้ มีอาการเคร่งเครียดมาก และยอมรับสารภาพว่า ได้ทำกิจการค้าน้ำมันเถื่อนจริง และเริ่มแฉดับเครื่องชนซัดทอดเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานแล้ว แต่ทหารยังคงควบคุมตัวต่อเพื่อสอบสวนขยายผลเปิดโปงต่อไปเรื่อยๆ และรายงานหน่วยเหนือเป็นระยะ

และในครั้งนี้ก็เช่นกัน มีการท้าทายอำนาจ นโยบาย และคำสั่ง ของบิ๊กสีเขียว หัวหน้า คสช.ในเรื่องการกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมาย การลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการทุจจริตอย่างเด็ดขาด

ล่าสุดได้มีผู้หลักผู้ใหญ่ ได้โทรศัพท์มาขอกับ พ.อ.จตุพร กลัมพสุต รอง ผบ.กองกำลังทหารพราน และเป็น หัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามภัยแทรกซ้อน คณะทำงานพิเศษ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ทำคดีเสี่ยโจ้เบาๆ หรือหาช่องทางไม่ให้ดำเนินคดี เหมือนเคยที่ผ่านมา

แต่ทหารไม่สนใจ ได้ประสาน ปปง. เตรียมยึดทรัพย์เสี่ยโจ้ ตามนโยบายของ คสช.ต่อไปแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นการทะลายแก๊งค์ค้าของเถื่อนน้ำมันเถื่อน ไม้เถื่อน ฯลฯ ชายแดนใต้ใหญ่ ในรอบหลายปีของไทย

ปัญหาการสร้างสถานการณ์ก่อความรุนแรงในจังหวัดชายแดนไต้ นอกจากจะมีแก็งค์แบ่งแยกดินแดนแล้ว ก็มีแก็งค์ค้าของเถื่อนนี่แหละเป็นตัวผสมโรง เพื่อสร้างสถานการณ์ไต้ให้ไม่สงบ แล้วจะได้ลักลอบค้าของเถื่อนตามแนวชายแดนไทย มาเลย์ แบบกองทัพมด ถือเป็นแก็งค์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติที่สำคัญมาตลอดหลายสิบปี

ทำให้ปัญหาชายแดนใต้มีหลายปัจจัย ผสมปนเปกันไปหมด การแก้ปัญหา ต้องแยกปลาออกจากน้ำให้ได้ ปลาเน่าๆ ทำให้น้ำเสีย ต้องคัดทิ้งออกให้หมด เพราะปลาพวกนี้มันติดเชื้อโรคร้าย มันมีหลายตัว ทิ้งไว้ในบ่อน้ำก็ไม่หายเน่าเสียสักที

ต้องเอาแหหว่านปลาติดเชื้อโรคพวกนี้ ออกมาจากบ่อให้ได้ แล้วเอามาปิ้ง ย่าง ทำลายเชื้อในตัวปลาก่อโรค ปลาตัวอื่นในบ่อจะได้ปลอดภัยหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคพันธุ์ร้ายนี้

เอาซิ ดูซิว่าระหว่างผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ขอให้ปล่อยตัวเสี่ยโจ้ ให้ลอยนวลเหมือนเคย ใน สมัยรัฐบาลโกงเสรีประชาธิปไตย กับสมัยรัฐประหาร คสช. ที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน ระบบไหนจะแน่กว่ากัน

และเชื่อแน่ว่าประชาชนเชียร์ คสช.ที่นำโดยบิ๊กสีเขียว ให้ฉีกหน้า กระชากหน้ากากผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น ที่กำลังดิ้นๆๆ กินปูนร้อนท้อง เมื่อหลักฐานสินบนสาวเข้ามาใกล้ตัวทุกขณะ

@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/topsecretthai

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้
 (รูปภาพ 4 รูป)

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ข้อมูลจากทหาร พูดเรื่อง่บ่อน้ำมัน โปรดวิเคราะห์

วันที่ 22 มิ.ย.57 แฉ..หุ้นใหญ่บริษัทขุดเจาะน้ำมัน เพชรบูรณ์ จดทะเบียนที่เกาะฟอกเงิน บริติชเวอร์จิน-เบอร์มิวด้า

จากกรณีกรณี บริษัท อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ได้สัมปทานสำรวจปิโตรเลียมแหล่งวิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ โดยเริ่มผลิตน้ำมันดิบตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมานั้น

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.57 เจ้าหน้าที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบบ่อน้ำมันดิบของบริษัท อีโก้ โอเรี้ยนท์ รีซอสเซส ในพื้นที่ ต.บ่อรัง อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์

หลังได้รับแจ้งว่าบริษัทขุดเจาะน้ำมันในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ สปก. จำนวน 7 บ่อ ในพื้นที่ 7 แปลง ผลการตรวจสอบพบว่า บ่อน้ำมันดิบในเขต สปก. จำนวน 6 บ่อ บริษัท แพนโอเรี้ยนท์ หยุดดำเนินการแล้ว

เหลืออีก 1 บ่อ ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 4 บ้านหนองบัวขาว ยังดำเนินการอยู่ โดยเจ้าหน้าที่บริษัทอ้างว่า อยู่นอกเขต สปก. อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ฝั่งซ้ายแม่น้ำป่าสักโซน E ที่กรมป่าไม้ ได้มอบให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ จัดสรรให้เกษตรกร ( แต่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของ พ.ท.รัฐเขต ครั้งนั้นพบมากกว่านี้ 10 เท่า ถึง 96 หลุมขุด )

ส่วน นายทรงภพ พลจันท์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงว่าบริษัท อีโค่ โอเรียน รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นสัญชาติฮ่องกง และไม่ได้ลักลอบขุด !!

จากการตรวจสอบหลักฐานราชการทะเบียนการค้า พบว่าบริษัทนี้ โอนหุ้นไปให้ในบริษัทที่จดทะเบียนเกาะบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ วันที่ 2 มกราคม 2556 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2557 มีผู้ถือหุ้น 3 ราย คือ

1. อีโค่ โอเรียน เอ็นเนอยี่ (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด สัญชาติเบอร์มิวด้า จำนวน16,999,994 หุ้น ระบุอาชีพค้าขาย ที่อยู่ แคนนอน คอร์ท เลขที่ 22 วิคเตอร์เรีย สตรีท แฮมิลตัน เอชเอ็ม 12 เบอร์มิวด้า

2.อีโค่ เอ็นเนอร์จี (อินเตอร์เนชั่นแนล) อินเวสท์เมนท์ส มิติเต็ด สัญชาติ บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ จำนวน 5 หุ้น ระบุอาชีพค้าขาย ที่อยู่ พี.โอ.บ๊อกซ์ 957 ออฟชอร์อินคอร์ปอเรชั่น เซ็นเตอร์ โรดทาวน์ ทอร์โทลา บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์

3.อิโค่ เอ็นไวรอนเมนทอล อินเวสท์เม้นส (โฮลดิ้งส) ลิมิเต็ด สัญชาติ บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ จำนวน 1 หุ้น ระบุอาชีพค้าขาย ที่อยู่ พี.โอ.บ๊อกซ์ 957 ออฟชอร์อินคอร์ปอเรชั่น เซ็นเตอร์ โรดทาวน์ ทอร์โทลา บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ (ที่อยู่เดียวกับผู้ถือหุ้นลำดับที่สอง) ปัจจุบันมีนายชาน วิง คิน นายซุย แคม ชิง นายชาน ชิ มูน กาเวน นายพูน กา ลก เป็นกรรมการ

เป็นที่รู้กันในวงการผู้ภาษีว่า เกาะเบอร์มิวด้า และเกาะบริติชเวอร์จิน มีกิตติศัพท์เลื่องลือทางด้าน “การหลบเลี่ยงภาษีอากร” ในช่วงที่ผ่านมามีนักการเมืองชื่อดังหลายคน และนักธุรกิจชั้นนำจำนวนมากนิยมชมชอบไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทบนเกาะดังกล่าว

นักการเมืองไทยหลายคนก็มี “หุ้นส่วน” ทางธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งบนเกาะดังกล่าวด้วย ก่อนหน้านี้ เช่น กรณีคนแดนไกล ที่เคยถูกตรวจสอบโดย คตส.มาแล้ว ว่า คือ ผู้อยู่เบื้องหลังการขาย และยักย้ายถ่ายเทหุ้นมหาศาล เพื่อหลบภาษีจ่ายให้ประเทศไทย

บริษัทขุดน้ำมันเพชรบูรณ์ อีโค่ โอเรียน เอ็นเนอยี่ (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด หุ้นใหญ่เกือบ 100% เป็น สัญชาติเบอร์มิวด้า ไม่ใช่เป็นบริษัทสัญชาติฮ่องกง ตามที่ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน แถแบบข้างๆ คูๆ โดยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะตรวจสอบกันไม่ได้ ที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ

1. ใครเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง จำนวน16.99 ล้านหุ้น ของ บ. อีโค่ โอเรียน เอ็นเนอยี่ (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด สัญชาติเบอร์มิวด้า กันแน่?

2. มีข้อมูลเกี่ยวกับเฉพาะบริษัทนี้ ช่วงเมษายน 2551 มีการขุดน้ำมัน มาแล้วถึง 6 ปี คือ

- ณ วันที่ 2 เม.ย. 51 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน รายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีน้ำมันดิบสำรองทั่วประเทศ 1,374.5 ล้านบาร์เรล แบ่งเป็นการพิสูจน์ว่ามีแน่นอน 450 ล้านบาร์เรล, พิสูจน์แล้วว่ามีปริมาณค่อนข้างแน่นอน 600 ล้านบาร์เรล, มีโอกาสที่เป็นไปได้ 200 และที่เหลือเป็นปริมาณส่วนแบ่งในพื้นที่พัฒนาพลังงานร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย สามารถใช้ได้อีก 10-20 ปี และก๊าซธรรมชาติ 31 ล้านล้าน ลบ.ฟุต ใช้ได้อีก 30 ปี

- ไทยผลิตน้ำมันดิบรวมคอนเดนเซท (น้ำมันเบา) ถึง 2.2 แสนบาร์เรล/วัน มากกว่าบรูไนที่ผลิตได้ 2 แสนบาร์เรล/วัน ปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดพบในไทย 2.2 แสนบาร์เรล/วันนั้น หากคิดมูลค่าน้ำมัน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 22 ล้านเหรียญ/วัน

- การผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นนี้ เกิดจาก ขุดพบปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากแหล่งนาสนุ่น ในอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ของ " บริษัท แพน โอเรียนท์ รีซอสเซส , ( ชื่อเดิมของบริษัท อีโค่ โอเรียน รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ก่อนจดทะเบียนเปลี่ยน) ทำการเจาะหลุมสำรวจพบน้ำมันดิบเพิ่มเป็น 10,000 - 20,000 บาร์เรล/วัน จากก่อนหน้านี้ผลิตเพียง 800 บาร์เรล/วัน ถือเป็นครั้งแรกของไทยที่พบชั้นน้ำมัน จากหินภูเขาไฟ หนากว่า 100 เมตร เป็นครั้งแรกในไทย โดยมีอายุการใช้ 10 ปี

- บริษัท ฯ ได้เปิดแถลงข่าวในการขุดเจาะแหล่งน้ำมันดิบ และจำนวนบ่อน้ำมันที่ขุดเจาะเพิ่มในวันที่ 4 เม.ย.51 ที่โรงแรมโฆษิต อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ในที่หมู่ 10 ต.บ่อรัง อ.วิเชียรบุรี ของบริษัท แพน โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ทางบริษัทมีการเพิ่มโครงการขุดเจาะในเขต พื้นที่หมู่ 1, หมู่ 2, หมู่ 3, หมู่ 4, หมู่ 9, หมู่ 11, หมู่ 13, หมู่ 18 และหมู่ 22 มีการพบแหล่งน้ำมันดิบจำนวนมาก ในแต่ละวันมี รถบรรทุกขนส่งน้ำมันวิ่งเข้า-ออกตลอดเวลา พร้อมมีการเคลื่อนไหวในด้านแรงงานมาก

3. บริษัทนี้ขุดเจาะน้ำมัน ที่แหล่งนาสนุ่น ในอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2551 ผ่านแล้วถึงปัจจุบัน ราว 6 ปี มีมูลค่าถึง 9.72 หมื่นล้านบาท ( เฉลี่ยวันละ 15,000 บาร์เรล x 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล x 30 บาท/เหรียญ x 30 วัน/เดือน x 12 เดือน/ปี x 6 ปี )

งานนี้มีข้อมูลแปลกๆ เกิดขึ้นแล้ว เงินภาษี และรายได้ทรัพยากรของคนทั้งชาติ กลับไม่อยู่ในประเทศ แต่กลับไปที่เกาะฟอกเงินที่ต่างประเทศแทน แล้วมันไปไหนต่อ ? แล้วเหตุการณ์แบบนี้มีที่ไหนอีกบ้าง ? เป็นยอดเงินอีกเท่าไร ?

ถ้าระบอบประชาธิปไตย จากการเลือกตั้ง มันดีจริงๆ อย่างที่นกพิราบกระป๋อง และนักวิชากำกวมว่า ทำไมคนวิเชียรบุรี เพชรบูรณ์ เจ้าของพื้นที่ เขาแทบไม่ได้อะไรจากผลประโยชน์ใต้แผ่นดินที่เขาเหยียบอยู่เลย

แล้วคนไทยอีกทั่วประเทศ ที่เป็นเจ้าของร่วมทรัพย์ใต้แผ่นดินร่วมกัน ก็ไม่รู้เรื่อง และไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเกาะ บริติชเวอร์จิน-เบอร์มิวด้า เลย ?? หรือไอ้เจ้า 2 เกาะนี้ มันมีคนไทยบางคนไป จดทะเบียนบริษัทนี้ แล้วที่แท้ก็แฝงตัวเป็นเจ้าของบริษัทอย่างลับๆ เงาเทาๆ ชักใยอยู่เบื้องหลังเหมือนที่ผ่านมา?

จากนั้นนักแสวงโชคทางการเมือง ก็จ้างสมุน บริวาร ออกมาเรียกร้องว่า เลือกตั้งเร็วๆ เถอะ เพื่อที่จะซื้อเสียงประชาชน กลับมาโกง ขุดน้ำมันแอบไปขายต่ออีกตลอดไป

เสธ น้ำเงิน4
https://www.facebook.com/topsecretthai

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้
 (รูปภาพ 4 รูป)

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ข้อมูลอำมาตย์กล่าวหา แดง และอียูร่วมมือกัน

วันที่ 25 มิ.ย.57 อัศจรรย์..สามเสาค้ำยันให้ชนชาติไทยรอดจากการแตกเป็นเสี่ยง (ตอนที่2)

วันที่ 24 มิ.ย.57 อัศจรรย์..สามเส้าค้ำยันที่ทำให้ชนชาติไทยรอดจากแตกเป็นเสี่ยง (ตอนที่ 1)

สถาบันหลักที่สำคัญต่อการเมือง การปกครองของไทย ชาติ- ศาสนา-พระมหากษัตริย์ สามเสาค้ำยันที่ทำให้ชนเผ่าไทยยืนหยัดฝ่ามรสุมการรุกรานจากชนชาติอื่นมานับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็ถูกรุกรานอย่างหนักจนเมืองศูนย์กลางอาณาจักร เช่น กรุงอโยธยาเสียแก่พม่าถึงสองครั้ง

แต่เพียงชั่วระยะหนึ่งสามเสาคำยันเดิม ก็ผงาดกลับมากู้เอกราชหนุนชนเผ่าไทยให้เป็นปึกแผ่นแข็งแกร่งมากกว่าเดิมทุกครั้ง บางครั้งเช่นในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 4-5 ชนเผ่าไทยก็โดนรุกรานขามขู่อย่างหนักจากประเทศตะวันตกที่มาล่าอาณานิคม แต่ไทยก็รอดมาได้อีกหลายครั้ง โดยจำต้องยอมเฉือนดินแดนบางส่วนน้อย แลกกับการรักษาดินแดนและความปลอดภัยของประชากรส่วนใหญ่ไว้ นี่คือหลักฐานว่าชาติตะวันตก เอาเปรียบกดขี่ชนชาติไทยมานานแล้ว

อีกตัวอย่างของ การแย่งและช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่คนในชาติ คือ ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น จนทำให้ประเทศจีนในสมัยก่อนแตกแยกออกเป็นสามอาณาจักร หรือที่เรียกขานกันว่าสามก๊ก ได้แก่ฝ่ายจ๊กก๊กของเล่าปี่ วุยก๊กของโจผี และง่อก๊กของซุนกวน จนต่อมาต้องสู้รบกันเองต่ออีกราว 60 ปี คนจีนตายมากมายนับไม่ถ้วนจากสงคราม

แม้ว่าไทยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเมื่อปี 2475 เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระมุข โดยวางรูปแบบอำนาจเป็นสามส่วน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เพื่อถ่วงดุลกัน แต่ระบอบดังกล่าว ก็บิดเบี้ยวเรื่อยมา

เพราะสาเหตุหลักๆ ระยะแรกเกิดจาก ฝ่ายบริหารใช้อำนาจมากเกินขอบเขตรังแกประชาชน พอระยะถัดมาทุนนิยมเข้ามาแทรก ก็เกิดการซื้อควบรวมกิจการฝ่ายนิติบัญญัติ และ บริหารเข้าด้วยกัน มีนักแสวงโชคทางการเมืองขึ้นมากมาย โกงกันระห่ำสะบั้น หั่นแหลก จนระบบการปกครองเลยกลายเป็น " ประชาธิปไตยที่พิการ" ไปจนถึงบัดนี้

แต่เสาค้ำยัน ชาติ- ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ก็ยังคงเป็นเสาค้ำยันที่แข็งแกร่งอย่างมั่นคง ชาติมหาอำนาจล่าอาณานิคมยุคใหม่ เช่น อเมริกา ยุโรป และผองเพื่อน จึงต้องวางแผนเลื่อยสองเสาแรกคือ พระมหากษัตริย์ และศาสนา ที่ค้ำยันเผ่าไทย ให้เหลือเสาค้ำน้อยที่สุด เพื่อจะล้มชาติไทยที่เป็นเสาต้นสุดท้ายให้จงได้

ถ้าสามเสาค้ำยันอยู่ครบแข็งแรง ต่างชาติจะเข้ามาทำอันตรายชนเผ่าไทยไม่ได้แบบเบ็ดเสร็จ จึงเกิดขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงขึ้นในไทย โดยการหนุนทุนอย่างลับๆ จากอเมริกา เช่น จากกองทุน USAID และอีกหลายกองทุน ที่แท้จริงคือทุนของ CIA ของรัฐบาลอเมริกาอีกที

นั่นเพราะชาติมหาอำนาจต้องการให้เหลือเสาค้ำประชาชนไทยเพียงสองขา คือ ชาติ - ศาสนาที่อ่อนแอ และเขาได้ทำการบ่อนทำลายศาสนาควบคู่ไปด้วย โดยหนุนทุนให้กับโจรแบ่งแยกดินแดนชายแดนใต้โดยอ้างคำสอนศาสนาอิสลามที่ผิดหลักการไป และยังหนุนให้พระภิกษุในศาสนาพุทธ มัวเมาในวัตถุ และสร้างคำสอนแปลกๆ ออกมา

จะสังเกตุว่ามีการสร้างนิกายจานบิน และมีพระในศาสนาพุทธหลายคนที่ต้องออกจากประเทศไทย และไปอยู่อเมริกา เช่น ยันตระ เณรคำ ฯลฯ และได้รับการคุ้มครองอย่างดี ดังนั้นเสาหลักสองเสาของไทยช่วงหลังๆ มาจึงโดนบั่นทอนอย่างหนักสอดประสานรับกันอย่างเป็นขบวนการ เป็นขั้นเป็นตอน ล้วนแต่มีการชี้นำและกำหนดแผนโดยต่างชาติทั้งสิ้น

ช่วงนี้อเมริกาก็แทรกแซกไทย โดยอ้างแถๆ รายงานประจำปีว่าไทยมีการค้ามนุษย์มากขึ้น แต่สิ่งที่อเมริกาไม่บอกคนไทยและทั่วโลกให้หมด คือ ผลการวิเคราะห์สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยปูเน่าเป็นรัฐบาลโน่น ไม่ใช่ยุค คสช. และผู้ร่วมเขียนรายงานนี้ หาใช่คนอื่นไกล ก็นักวิชากำกวมในมหาลัยเก่าแก่นั่นเอง

พวกนี้แอบไปรับเงินอเมริกามา แล้วก็บินไปร่วมเขียนรายงานงานกับกองทุนลับต่างๆ ของอเมริกาที่ CIA หนุนอยู่ ใช้คนไทยมาทำลายชาติไทย โดยอ้างการค้ามนุษย์ เช่น ใช้แรงงาน และขายบริการทางเพศต่างชาติในไทยว่างั้นเถอะ

และเป็นข้ออ้างจะตัดสิทธิพิเศษสินค้าไทยที่จะส่งไปขายอเมริกา เช่น กำแพงภาษี ทำให้สินค้าไทยแพงกว่าชาติอื่น เสียเปรียบการแข่งขันประเทศอื่น ส่วนสหภาพยุโรป ก็รับลูกอเมริกา เหมือนปี่กับกลองทันที โดยจะงดความช่วยเหลือไทยบางอย่าง จนกว่าไทยจะเลือกตั้ง แต่ยุโรปเอง ก็ กลับให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธกับกลุ่มก่อร้ายในซีเรีย อิรัก ยูเครน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ให้คนในชาติเขาฆ่ากันเอง

ประเทศพวกนี้มันมาวุ่นวายอะไรกับไทยนักหนา ส.ส.ในสภาไทยมันก็ไม่มี มันก็แค่อยากให้บริษัทการเมืองที่มันควบคุมหันซ้ายขวาได้ ซื้อเสียงเข้ามา ได้ ส.ส.มากๆ แล้วมันก็จะกดรีโมท สั่ง ส.ส.พวกนั้น ออกกฎหมาย และให้รัฐบาลหุ่นเชิดอนุมัติ ให้เอาทรัพยากรประเทศไทย ไปให้มันซะดีๆ ก็เหมือนยูเครน อิรัก ตอนนี้นั่นเอง

มันกดรีโมทมาจากต่างชาติ ยึดประเทศไทยผ่าน ส.ส.และรัฐบาลหุ่นเชิดกันง่ายๆ แบบนี้แหละ โดยมีคนไทยเองที่เป็นนักแสวงโชคทางการเมืองเป็นหนอนบ่อนใส้ โลภโมโทสัน ยอมแลกประเทศไทย กับเงินมาเข้ากระเป๋าตนเอง

ตัวอย่างอีกรูปธรรม ของการบ่อนทำลายชาติโดยการหนุนจากต่างชาติ คือ มือปืน 10 ล้านกระบอก และเจ๊เพ็ญ ประกาศตั้ง องค์กรเสรีไทย บ้าๆ บอๆ มีที่ตั้งองค์กรในยุโรป โดยถือฤกษ์เอาวันที่ 24 มิ.ย.2557 เป็นสัญลักษณ์ คือ คิดจะทำร้ายสถาบันเบื้องสูงเหมือน 24 มิ.ย.2475 ว่างั้นเถอะ

โถ.. มือปืน 10 ล้านกระบอก เพิ่งถูกจับได้ทำลายป่าต้นน้ำในรีสอร์ทลูกชาย หลักฐานเป็นไม่ซุง ไม้แปรรูปเพียบ ต้องเอารถขนของกลางออกมายึดไว้หลายสิบเที่ยว ย จะมาเป็นเลขาธิการองค์กรเสรีไทย เสรีตัดไม้ทำลายป่าทรัพยากรธรรมชาติซิไม่ว่า ส่วนเจ๊เพ็ญก็แกนนำล้มเจ้าตัวเอ้ ยังมีหน้ามาก่อตั้งองค์กรเสรีไทย ไปก่อตั้งองค์กรเสรีทางเพศ ระเบิดถังส้วมน่าจะรุ่งกว่าเยอะ

มาดูตัวอย่างประเทศที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ตอนนี้ เหลือแค่สองเสาค้ำประชาชน คือ ศาสนา กับ ชาติ ว่ามีชะตากรรมอย่างไร เมื่อมหาอำนาจต่างชาติแทรกแซงการเมืองภายใน อิรัก คือตัวอย่างที่ดีที่สุดตอนนี้ เมื่อก่อนคนอิรักร่ำรวย รัฐสวัสดิการเกือบทุกอย่าง สุขสบาย มีคนใช้เป็นคนไทย

พอเกิดสงครามจากอเมริกาแทรกแซงประเทศ คนอิรักตอนนี้ลำบาก ผู้หญิงถูกข่มขืน เด็กถูกฆ่า จากอีกพวก อีกนิกาย บ้านช่องพินาศหมด อดอยากอาหาร กินไม่ได้กิน นอนไม่ได้นอน หอบผ้าหนีตายกระเซอะกระเซิงกันหลายล้านคน ชีวิตไม่รู้ตายวัน ตายพรุ่ง ทุกข์ทรมาณยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นอีก

กลุ่มติดอาวุธซึ่งนำโดยกลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและเลแวนต์ หรือ ไอซิล ที่ได้รับการฝึกอาวุธ โดยอเมริกา ในดินแดนของซีเรีย กลุ่มนี้เป็นอิสลามนิกายสุหนีย์ ได้ทั้งอาวุธใหม่เอี่ยม รถถัง อาหาร และเงินทองอู่ฟู่จากอเมริกา แล้วก็มาโจมตีรัฐบาลอิรักนิกายชีอะห์ ที่อเมริกาก็หนุนหลังอีกนั่นแหละ เรียกว่าอเมริกา ยุโรป หนุนให้นิกายสุหนีย์ กับ ชีอะห์ ในอิรักให้ฆ่ากันเองว่างั้นเถอะ เอ็งสู้กันเข้าไป แล้วมาซื้ออาวุธจากข้า และใครได้ดินแดนไม่ว่าตรงไหนก็เอาบ่อน้ำมันของเองมา

เมื่อศาสนาแตกเป็น 2 เสี่ยง ตอนนี้ ชนชาติอิรักจึงแตกออกมากกว่า 3 เสี่ยง แบ่งดินแดนยึดครองกันกลุ่มเล็กกลุ่มย่อย สู้รบกันมั่วไปหมด ฝ่ายไหนจับฝ่ายไหนได้ ก็เอาเข็นใส่รถมากองรวมๆ กัน แล้วก็สาดกระหน่ำกระสุนยิงทิ้งข้างถนนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ แล้วเอารถไถกลบศพไปเลย

ตอนนี้กลุ่มก่อติดอาวุธไอซิลสามารถยึดเมืองราวาและเมืองอานาได้สำเร็จ พร้อมกับสังหารผู้นำท้องถิ่นของทั้งสองเมืองรวม 21 คน หลังจากสามารถยึดด่านข้ามพรมแดนอัล-กาอิม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ด่านข้ามพรมแดนติดกับซีเรียที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทางการอิรักเหลืออยู่เพียง 1 แห่ง จากทั้งหมด 3 แห่ง

โดยด่านข้ามพรมแดนแห่งที่ 3 อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังชาวเคิร์ด และกลุ่มไอซิลก็จัดตั้งรัฐซ้อนรัฐ ขีดกำหนดเขตปกครองตนเอง เอาดื้อๆ แล้วใช้กฎหมายอิสลามสุดโต่งคล้ายแนวคิดกลุ่มตอลีบัน มาปกครองประชาชนในดินแดนที่ตนยึดครองมาได้ ยิง ฆ่า เผา กันแบบเมามัน ความสยดสยองบนท้องถนนของอิรัก กลายเป็นทุ่งสังหาร กราดยิงเข่นฆ่าชาวอิรักอย่างไร้ความปรานี

อเมริกา และยุโรป โวยวายว่าไทย "ค้ามนุษย์" แต่พวกเขานั่นแหละเป็นตัวการ " ฆ่ามนุษย์ " อย่างไหนมันเป็นมหันตภัยร้ายแรง และละเมิดสิทธิต่อมนุษยชาติด้วยกันๆ แน่ ค้ามนุษย์ก็ยังไม่ตาย แต่ฆ่ามนุษย์นี่ ถึงขั้นตายและสูญเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว

อเมริกาฆ่าคนอิรักคราวก่อสงครามปี 46-54 ไปแล้วเกิน 500,000 คน จะต้องฆ่าคนอิรักที่เป็น เด็ก ผู้หญิง คนชรา คนอ่อนแอ อีกสักกี่ล้านคน จึงจะพอใจ หรือว่า ในสายตาของรัฐบาลอเมริกา และยุโรป คนอิรักพวกนี้เขาไม่ใช่มนุษย์ จึงไม่ออกรายงานประจำปีการ "ฆ่ามนุษย์" มาเปิดเผยให้ชาวโลกได้ช็อคบ้าง

สามเสาค้ำยันที่เข้มแข็งของชนเผ่าไทย ชาติ- ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เท่านั้น ประเทศเราถึงจะรอดพ้นจากการ "ฆ่ามนุษย์" ของอเมริกา และ ยุโรป คนไทยต้องต่อต้านต่างชาติที่รังแกเราสุดกำลัง

เป็นทหารเอกพระราชาพญาผึ้ง บอยคอตสินค้าประเทศพวกนี้สุดฤทธิ์ , ทำเอกสาร และอีเมล์ถล่มร้องเรียนพฤติกรรมรัฐบาลพวกนี้ ต่อองค์กรที่ต่อต้านรัฐบาลนั้นๆ เอง , กดดันหอการค้า ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา ประเทศนั้น ทุกรัฐ ให้ไปกดดันรัฐบาลกลางเขาเองอีกต่อ

และอย่าไปสนใจใยดี สิ่งที่ประเทศบงการ "ฆ่ามนุษย์" พวกนี้ แถลงหรือออกรายงานใดๆ เพื่อกดดันประเทศไทย เพราะนี่คือเป็นเรื่องภายในประเทศที่คนไทยเขาจะจัดการปฏิรูปประเทศกันเอง ตอนนี้โพลระบุคนไทยพอใจการทำงานของ คสช.เกิน 90%..ดังนั้นต่างชาติอย่าเข้ามาจุ้น !!

ดั่งพระราชนิพนธ์เตือนใจของล้นเกล้า รัชกาลที่ 6 ที่ว่า "ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่น ผู้เป็นนาย เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา "

@ เสธ น้ำเงิน4
https://www.facebook.com/topsecretthai

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้
 (รูปภาพ 8 รูป)


ตามที่อเมริกา ประเทศสหภาพยุโรปบางประเทศ ออสเตรเลีย รวมหัวกับกลุ่มการเมืองแดงเผาไทย กลั่นแกล้งๆ กดดันคนไทยต่างๆ นานาตลอดมา โดยเฉพาะที่ ที่ชัดเจนและกระทบกระเทือนจิตใจคนไทยอย่างรุนแรง คือ การให้ทุนกับขบวนการล้มเจ้าในไทย ที่เป็น NGO , นักวิชาเกิน , หมู่บ้านเสื้อแดง , กลุ่มเยาวชนแดง ฯลฯ

เพราะต่างชาติพวกนั้นชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ถูกหล่อเลี้ยงด้วยทฤษฎีทุนนิยม บริโภคนิยม ฟุ่มเฟือย และ อาวุธ แต่ การที่ชนเผ่าไทยมีสถาบันเสาค้ำหลัก 1 ใน 3 เสาคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ชาติล่าอาณานิคมตะวันตกเสียประโยชน์

ชาติตะวันตกก็เหมือนปลิงดูดทรัพยากรจากไทย เกาะไปตรงไหน ก็ดูดๆ ตรงนั้นไปหลายปีจนซีด ยักย้ายทรัพยากรกลับไปสร้างความมั่งคั่ง และหล่อเลี้ยงประ ชากรของตนเอง พอดูดจนซีดก็เคลื่อนย้ายไปดูดจุดใหม่ๆ เพราะเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ทรัพยากรเหลือเกิน

ส่วนนักแสวงโชคทางการเมืองของไทย ก็อ้างผลการเลือกตั้งขี้โกงจากการซื้อเสียง เข้ามาเป็นรัฐบาลจอมปลอม ข่มขืนรุมโทรมประชาธิปไตย จนพิกลพิการ แล้วกลายร่างเป็นเห็บ โลน ดูดเอาทรัพยากรของไทยที่เหลือซาก จากต่างชาติ เอาไปเป็นของตนเอง และพวกพ้อง

เห็บ โลน นักแสวงโชคทางการเมืองเหล่านี้ จะต้องยอมพลีใจเป็นทาสต่างชาติตะวันตกด้วย โดยยอมให้ต่างชาติกดรีโมทระยะไกล มาควบคุมการบริหารประเทศไทยได้ ผ่านบริษัททางการเมืองขี้ข้า ที่ไร้ศักดิ์ศรีชนชาติ

เมื่อปลิงต่างชาติต้องการดูดทรัพยากรไทยจุดได้ ก็จะกดรีโมทถึงเห็บ โลน นักการเมืองทาสไร้ศักดิ์ศรี ให้อนุมัติสัมปทาน หรือแก้กฎหมายให้เปิดทางสะดวก แลกกับการยอมโยนส่วนแบ่งทรัพยากรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับ เห็บ โลน นักแสวงโชคทางการเมืองของไทย ใจเป็นทาส ได้ดูดกิน

ตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา ชนเผ่าไทย แทบไม่เคยได้ลิ้มรสทรัพยากรดีๆ เช่น พลังงานน้ำมัน แก๊ส และป่าไม้ จากแผ่นดินสุวรรณภูมิของตนเองเลย เพราะถูกปลิง ต่างชาติ กับ เห็บ โลน ทาสต่างชาติ ดูดกินของดีๆ ไปจนหมดสิ้น คนไทยจึงแทบไม่รู้สึกได้ว่า เข้าถึงประโยชน์ใดๆ จากทรัพยากรดีๆ ที่มีอยู่แล้วเหล่านั้นเลย

คนเผ่าไทย จะได้ประโยชน์ ก็ต่อเมื่อ ต้องลงมือทำสิ่งต่างๆ ตามรอยพ่อสอนเศรษฐกิจพอเพียงด้วยตัวเองเท่านั้น เช่น การทำการเกษตร ทำนา เพาะปลูก ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์ โดยการใช้ประโยชน์จากผิวดิน ผิวน้ำ และฝนที่เกิดจากป่าไม้ และตกกลับลงมา

น่าแปลกที่คนไทย แทบ ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากทรัพย์ที่บรรพบุรุษรักษาแผ่นดินไว้ให้มาเป็นพันปี และ มีอยู่มานมนานแล้ว แต่อยู่ลึกๆ ลงไปใต้ดิน และ ลึกลงไปในใต้น้ำทะเลลึก เช่น น้ำมัน แก๊ส ทองคำ รัตนชาติ แร่ ถ่านหิน ป่าไม้ ฯลฯ

น่าแปลกที่ทรัพย์มรดกจากบรรพบุรุษที่มีอยู่แล้วเหล่านี้ คนไทยจะเข้าไปใกล้ยังทำไม่ได้เลย ขนาดมีหลุมแอบขุดเจาะน้ำมันอยู่พื้นที่ใกล้ๆ ตนเอง จะเข้าไปดูให้เป็นบุญตาในชีวิต นายทุน ปลิง เห็บ โลน เขายังห้ามเข้า

พอเกษตรกรจะเอาของที่เหลือพืชการเกษตรทีตนเองปลูก เช่น อ้อย ปาล์ม ของตนเองไปทำประโยชน์ ยังต้องพึ่งนายทุนโรงงานทำเอทธานอล และ ไบโอดีเซล จึงทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ประชาชนไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ แท้จริงจากระบอบทุนนิยม ผ่านคำว่าประชาธิปไตยเลย

นอกจากต่างชาติจะใช้คนไทยใจเป็นทาส มาบ่อนทำลายเสาหลักสถาบันกษัตริย์ เพื่อทำลายระบบเศรษฐกิจพอเพียงภูมิปัญญาของไทยแล้ว ต่างชาติยังใช้เครื่องมือที่เขาประดิษฐ์เอง แต่บังคับใช้ไปทั่วโลก โดยไม่สนใจว่าชาติอื่นเขาจะเห็นดีเห็นงามเครื่องมือที่ว่านั้นด้วยหรือไม่

เครื่องมือที่ต่างชาติมักใช้นั้นคือ " การจับประเทศไทยเป็นตัวประกันแล้วเรียกค่าไถ่ " โดยมีอาวุธที่มักใช้จี้ คือ อ้างเหตุการค้ามนุษย์ และ การกดดันและการกีดกันทางการค้า ถ้ายามใดที่เครื่องมือนี้ถูกนำมาใช้กับไทย นั่นหมายถึงต่างชาติเริ่มงอแง และรังแกเรา เพื่อจะแลกเปลี่ยนเอาอะไรสักอย่างที่เขาต้องการ

แฉเอาเรื่องค้ามนุษย์ก่อน อเมริกานี่แหละตัวการค้ามนุษย์รายใหญ่ชนชาวโรฮิงยาเลยแหละ พวกเขาคือชนกลุ่มน้อยในพม่า อาศัยอยู่ใกล้ตะเข็บชายแดนติดกับประะเทศบังคลาเทศ และนับถือศาสนาอิสลาม พม่าเองก็ไม่ยอมรับว่าเป็นพลเมืองของตนเอง จึง ไม่มีบัตรประชาชนตามกฎหมาย

คนพม่าเองที่นับถือพุทธก็มีขบวนนการต่อต้านโรฮิงยา มีการฆ่า เผา และปะทะกันเป็นระยะๆ จนมีผู้เสียชีวิตครั้งละมากๆ อเมริกาทำการค้ามนุษย์โรฮิงยาในนาม UNHCR มีสำนักงานในเมืองปาร์ซาร์ ของบังคลาเทศ เป็นตัวการใหญ่ให้โรฮิงยาหนีออกมาจากค่ายผู้อพยพ ปล่อยลอยเรือลงทะเลแบบแออัดยัดเยียด มาทางพม่า ถึงไทย ขึ้นฝั่งที่ภาคไต้ของไทย และโดนจับกุมฐานหลบหนีเข้าเมืองอยู่เป็นประจำ

จะส่งตัวกลับประะเทศ พม่าก็ไม่ยอมรับว่าเป็นพลเมืองตัวเอง และโรฮิงยายังลอยเรือไปขึ้นฝัั่งตามยถากรรมที่ประเทศอื่นๆ อีกในเอเซียอีกหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโด ฯลฯ พวกที่เรือล่มก็เสียชีวิตหมู่ไป ไทยจึงเป็นเพียงรับผู้อพยพชาวโรฮิงยา ปลายทางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ซึ่งก็ต้นทางมาจาก UNHCR นั่นแหละ

อเมริกายังเป็นตัวการค้ามนุษย์แห่งที่สองคือในไทย ที่ จ.ตาก อำเภอชายแดนติดต่อกับพม่า ที่เมื่อก่อนมีการสู้รบของชนกลุ่มน้อยในพม่า กับ รัฐบาลพม่า พวกเขาจึงอพยพมาลี้ภัยสงครามมาอยู่ค่ายอพยพในไทย 3 ค่าย คือ อุ้มเปี้ยม แม่หละ นุโพธิ์ ราวประมาณ 8 หมื่นกว่าคน

องค์กรเจ้าเก่า UNHCR ก็มาเจ้ากี้เจ้าการอีก โดยทุก 4 เดือนจะมาคัดพันธ์มนุษย์ในค่ายไป โดยเลือกเอาเฉพาะมนุษย์พันธ์ดี เช่น จบแพทย์ วิศวะ หรือความรู้ดีๆ รับไปอยู่ออสเตรเลย และอเมริกาครั้งละ 4-5 พันคน ส่วนที่พันธ์ไม่ดี เขาปล่อยให้เป็นภาระไทยเลี้ยงดูในค่ายตลอดมา อ้างว่าไทยต้องปกป้องสิทธิมนุษยชน

อีกชนเผ่าที่ๆ อเมริกาคค้ามนุษย์ แบบหน้าไม่อายคือ ม้งลาว ตัวการใหญ่เรื่องนี้คือ สถานทูตอเมริกาทำเองเลย ร่วมกับสำนักข่าว AP ที่อาคารแพนแปซิฟิค โดยร่วมมือกับเครือข่ายในรัฐแคลิฟอเนีย จัดส่งค้ามนุษย์เผ่าม้งออกจากลาว ผ่านมาทางไทย ไปอเมริกา แต่คัดเลือกม้งพันธ์ดีๆ อีกเหมือน ถ้าพันธ์ไม่ดีเขาทิ้งไว้เหมือนเดิม

เครื่องมือที่สองคือการกดดันและกีดกันทางการค้า โดยอเมริกากับ EU จะเลือกกีดกันสินค้าเกษตร อาหารทะเล กุ้งแช่แข็ง ตลาดสินค้าพวกนี้ในไทยอยู่ในมือ บริษัท CP ไม่เกี่ยวกับประชาชนไทยส่วนใหญ่ มูลค่าส่งออกแค่ปีละราว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนยางพาราของไทย ตลาดหลักส่งออกของไทยอยู่ในเอเซีย ที่มีประเทศถึง 48 ประเทศ ไม่ใช่อเมริกาและ EU

ส่วนอีกเรื่องที่ฝรั่งเพิ่งคิดมุกใหม่ คือ เล็งจะ ย้ายฐานการฝึกทางทหารคอบบร้าโกล้ไปที่อื่น อันนี้ต้องหัวเราะแบบเสียงเข้มๆ เพราะยิ่งส่งผลดีกับไทยใหญ่เลย คอบบร้าโกล เมื่อก่อนเกิดขึ้น การฝึกที่จัดขึ้นมาเพื่ออเมริกาส่งกำลังมาโจมตีเวียดนามจนตายไปเป็นล้านคน และโจมตีเขมรตายอีกหลายแสน เพื่อดุลอำนาจกับจีน

เพราะไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่พร้อมทางระบบโลจิสติกส์บก เรือ อากาศ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่พร้อมทุกอย่างที่รองรับกำลังทหารนานาชาติที่มาฝึกราว 2 หมื่นคน หากย้ายไปที่อื่นแทบไม่มีทางเลือกเลย ไปเวียดนาม ค่าใช้จ่ายขนส่งจะแพงขึ้นมหันต์ ไปฟิลิปปินส์ ก็ไม่ใช่จุดยุทธ์ศาสตร์ทางการรบเสียแล้ว และค่าใช้จ่ายขนส่งก็แพงอีก หรือืขึ้นไปฝึกที่ออสเลีย ยิ่งตลกกว่าเชิญยิ้มอีก ระบบข่าวกรองถูกวางไว้ที่ไทย อเมริกาก็รู้ว่าย้ายไปแล้วพังครืนทั้งระบบ

และถ้าไทยหันไปฝึกร่วมกับจีน รัสเซีย ทีนี้แหละมะกัน และ EU ดิ้นปัดๆ แน่ๆ เพราะระบบอาวุธที่ใช้ฝึก และยุทธศาสตร์ต้องเปลี่ยนไปหมด หลักสูตรการฝึกก็จะกลายเป็นการฝึกเพื่อต่อต้านอเมริกาและ EU แทน การซื้ออาวุธระยะต่อไปก็อาจจะต้องปรับชนิดอาวุธประจำการกองทัพกลายเป็นเทคโนโลยีจากของรัสเซีย และจีนแทน

ดังนั้นแม่้อเมริกา และ EU จะกลั่นแกล้งหาเรื่องไทย ทั้งเรื่องอ้างการค้ามนุษย์ กีดกันทางการค้า และการฝึกร่วมทางการทหาร มันก็แผนการสมคบคิดของปลิงฝรั่งกับเห็บ โลน คนไทยหัวใจเป็นทาสเท่านั้นเอง แค่ต้องการบีบ คสช.หวังให้ไทยต้องอยู่ภายไต้การควบคุมกดรีโมทได้จากเขา เหมือนรัฐบาลเลือกตั้งซื้อเสียงที่ผ่านมา

ไม่ต้องไปสนใจกับพวกปลิง เห็บ โลน เกาะดูดกินทรัพยากรของไทยพวกนี้ ชนเผ่าไทยก็ต้องมีศักดิ์ศรีของเราเอง เรามีอารยธรรมเก่าแก่ของประเทศเรา เราก็หันไปเปิดตลาดใหม่ในเอเซียที่เขาหัวอกเดียวกับเรา เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่าน แอฟริกา

ไทยไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ยังมีประเทศในเอเซียอีก 48 ประเทศ ประชากรเกิน 3 ใน 4 ของโลก อยากทำการค้ากับไทยอยู่ ข้าวไทยอร่อยที่สุดในโลก สินค้าเกษตรคุณภาพดีเพียบ อาหารทะเลชั้นเลิศ ครัวของโลกตั้งอยู่ที่ไทยนี่แหละ พลังงานก็มีอีกมาก ฝรั่ง มันวุ่นวายกันนัก ก็ยกเลิกสัญญาสัมปทานเก่าให้หมด แล้วค่อยมาพิจารณาเงื่อนไขกัใหม่ ให้ประชาชนในชาติได้เข้าถึงประโยชน์ไต้ดิน ในทะเลที่บรรพบุรุษทิ้งมรดกไว้ให้มากที่สุด

ประเทศไทยโยนเมล็ดพันธ์พืชไปตรงไหนลงดินก็ได้ผลผลิต เพราะแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เหลือเกินคนไทยไม่มีวันอดตาย แต่อเมริกาเข้าประเทศไหนก็ได้ผลผลิตด้วยการบีบบังคับเอา การลดเครดิต การสูบเลือดสูบเนื้อ ปล้นสดมภ์ และจับประเทศนั้นเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่

เมืองไทยแค่ปราบนักการเมืองชั่วเห็บโลน ข้าราชการทุจจริต แล้วสอนหน้าที่พลเมืองให้ประชาชนมีจิตสำนึกในหน้าที่ ประเทศไทยก็เจริญและมีดัชนีความสุขกว่าอเมริกา สหภาพยุโรป และออสเตรเลียแล้ว

ต่อไปประชาชนสัญชาติอเมริกาที่เป็นเชื้อชาติคนเอเซีย ลาว เขมร และเมียฝรั่งชาวไทย อาจต้องก่อการประท้วงรัฐบาลอเมริกาและ EU เพราะหากิน ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม..หนอนล้วนๆ หัววิตามิน ที่อร่อยที่สุดในโลก แถวอุบล อุดร ขอนแก่น ยโส ฯลฯ ส่งของแท้ออกจากไทย ไปกินไม่ได้

ผลก็คือทำให้บรรดาเมียๆ ไทย ลาว เขมร ขาดวัตถุดิบทำส้มตำปลาร้า ที่เป็น Original ต้องไปหาสินค้า Copy ที่ละเมิดลิขสิทธิ์มากินแทน..อารมณ์ก็จะเสีย เกิดความไม่มั่นคงในครอบครัว เรื่องใหญ่เลยนะนั่น..ฮา

@ เสธ น้ำเงิน1
https://www.facebook.com/topsecretthai

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้
 (รูปภาพ 8 รูป)

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โปรดใช้วิจาณณาญให้การอ่านข้อมูลฝ่ายอำมาตย์

โปรดใช้วิจาณณาญให้การอ่านข้อมูลฝ่ายอำมาตย์

วันที่ 26 มิ.ย.57 อัศจรรย์..สามเสาค้ำยันให้ชนชาติไทยรอดจากการแตกเป็นเสี่ยง (ตอนที่ 3)

จีนกับไทยเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมากว่า 1,000 ปี มาแล้ว แต่ได้ห่างหายทางการทูตกับไทยไประยะหนึ่ง หลังจากประเทศเขาเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ตามแนวเหมาเจ๋อตุง และปิดประเทศ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ไประยะหนึ่ง

แต่แล้วก็เกิดเหตุพลิกผัน เปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ไทย-จีน เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ซึ่งเป็นโอรสคนคนที่ 4 ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) เมื่อครั้งท่านตั้งพรรคการเมือง และได้รับการเลือกจากสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2518

ในช่วงนั้นมีการสู้กันของเขมร 3 ฝ่าย อเมริกาสนับสนุนเขมรฝ่ายหนึ่ง ตอนนั้นมีกรณีที่เรือรบขนาดใหญ่ของอเมริกาใช้น่านน้ำไทย ผ่านไปสู่น่านน้ำและแผ่นดินเขมร โดยอเมริกามีการใช้ไทยเป็นฐานสงคราม รัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประกาศนโยบายว่าต่อไปถ้าอเมริกาใช้น่านน้ำไทย หรือผ่านแผ่นดินไทย จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทยก่อน

รวมทั้งได้เรียกตัวทูตกลับประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ เป็นการแสดงความกล้าหาญของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จนอเมริกาถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยในเวลาต่อมา เป็นการเปิดฉากการเมืองระหว่างประเทศในเวลาที่แหลมคมมาก

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีนโยบายเปิดความสัมพันธ์กับจีน หลังจากที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลมาเป็นเวลานาน เป็นการตัดสินใจจุดเริ่มต้นการเมืองระหว่างระหว่างประเทศ และทางการทหารด้วย เพราะจีนหนุนหลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และคณะผู้แทนรัฐบาลไทย เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ทางการทูตระหว่าง ประเทศที่การเมืองไทย สามารถควบคุมระบบทหารได้

นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 เป็นต้นมา มีการลงนามอย่างเป็นทางการของผู้นำรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ในพิธีสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต มิตรภาพอันแน่นแฟ้นและความร่วมมือด้านต่างๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีนเป็นไปด้วยดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและรอบด้าน

โดยเฉพาะสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้นำจีนและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จีน ยกเลิกการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในไทย ด้านทุน อาวุธ ในเวลาต่อมา จนอ่อนแอและพ่ายแพ้ต่อรัฐบาล พล.อ.เปรม ในที่สุด และมีการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตอีกหลายครั้งอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งยากที่ประเทศอื่นใดจะเสมอเหมือน ตราบกระทั่งปัจจุบัน

อเมริกา สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย จึงคั่งแค้น ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ ของไทย จึงร่วมหัวกับบริษัทเผาไทยแดงล้มเจ้า ให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงต่างๆ นาๆ กุข่าวเรื่องเสียๆ หายๆ กล่าวร้ายให้พระองค์เกี่ยวโยงกับเรื่องทางการเมืองและธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่หูเบาเข้าใจผิด

สมัยรัฐบาลเลือกตั้งเผาไทยที่ผ่านมา ได้ยอมเป็นทาสประเทศตะวันตกหลายอย่าง ที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ของไทยกับจีนจนเกิดการหมางเมิน การค้าระหว่าง 2 ประเทศหยุดชะงักลง เช่น การยอมให้อเมริกามาเช่าฐานทัพเรือ โดยอ้างว่าใช้เป็นฐานทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่ที่แท้คือเป็นฐานใช้สำหรับส่งอาวุธชนิดไร้คนขับ เพื่อโจมตีทางทหารต่อจีน ทำให้จีนไม่พอใจรัฐบาลปูเน่ากรณีนี้อย่างมาก

และจีนนั้นมีโยบายการปราบปรามทุจริตอย่างเฉียบขาด รัฐมนตรีรถไฟเขาถูกจับได้ศาลก็ตัดสินประหารชีวิต ผู้บริหารมณฑลหนึ่งของเขาจัดงานเลี้ยงหรูหรา อีกมณฑลหนึ่งขี่หลังลูกน้องขณะเกิดน้ำท่วม เขาปลดออกหมดทันที รัฐที่แล้วชอบอ้างชื่อประเทศจีนว่าทำการค้าแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับไทย เช่นเรื่องขายข้าว , เรื่องแท็บเล็ตพี่ซีเด็ก ป.1 ฯลฯ แต่จริงๆ ไม่เคยมีเลย

เมื่อหมดยุครัฐบาลเลือกตั้งเผาไทย ที่เป็นทาสอเมริกา และเข้าสู่ยุค คสช.บริหารประเทศ จีนจึงรู้พึงพอใจอย่างมาก เพราะจีนอ่านขาดว่าไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน ที่จะรวมตัวกันเป็น AEC มีประชากรรวมกันกว่า 630 ล้านคน

จีนจึงอยากกลับมาฟื้นฟูความสำคัญใกล้ชิดทางการเศรษฐกิจการค้ากับไทย ยิ่งเข้าทราบว่า หัวหน้า คสช.มีความจงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมาก จีนยิ่งมีความมั่นใจในการลงทุนทำการค้ากับไทยมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดส่งคณะทูตจีนมาพบผู้แทนฝ่ายเศรษฐกิจของ คสช.อย่างเป็นทางการ

เมื่อวานนี้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ให้การต้อนรับ นายหนิง ฟู่ขุย (H.E. Mr.Ning Fukui) เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และคณะที่ ได้เข้าเยี่ยมคารวะเพื่อหารือข้อราชการ ได้มีการสนทนากันในเรื่องต่างๆ ด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรไมตรีมาก

ทูตจีนได้ขอบคุณผู้บัญชาการทหารอากาศที่ได้เคยเดินทางไปเยือนจีนเมื่อปลายปี 2556 และ อีกทั้งจีนมาเยี่ยมไทยในฐานะที่ผู้บัญชาการทหารอากาศเป็นรองหัวหน้า คสช. และเป็นหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจด้วย จีนมีความเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยในช่วงรัฐบาลเลือกตั้งที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างมาก

แต่หลังจากที่ คสช.ได้เข้ามาบริหารจัดการและใช้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจทางด้านต่างๆ แม้จะเป็นเวลาเพียง 1เดือน ก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและมั่นใจว่า การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนจะมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น จีนได้มองเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยที่ "เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน"

นอกจากนั้นไทยกับจีนยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาเป็นเวลาช้านาน จึงเชื่อมั่นว่านักลงทุนของจีนจะได้กลับมาดำเนินธุรกิจการค้าในเวลาอีกไม่นานนี้ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้า คสช. และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ

นับแต่นี้จะทำให้การค้าระหว่างไทยกับจีน ที่หยุดชะงักลงจากรัฐบาลก่อน กลับมาฟื้นตัวในเร็ววันนี้ ทางการจีนจะให้ความสำคัญทางด้านการค้าการลงทุนกับไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ส่วน พล.อ.อ. ประจิน กล่าว ขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย จนกระทั่งเป็นเหตุให้ คสช. ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเพื่อคืนความสันติสุขให้กลับมาสู่ประชาชน

โดย คสช. มีขั้นตอนการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาของประเทศตามแนวทางของหัวหน้า คสช. เพื่อให้ประเทศไทยได้กลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ในเวลาอีกไม่นานนี้ และขอให้มั่นใจว่า คสช.จะดูแลชาวต่างประเทศและนักลงทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี ด้วยความตั้งใจและจริงใจเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนได้กลับมาเที่ยวประเทศไทยอย่างที่เคยเป็นมา และหากมีสิ่งใดที่เป็นปัญหาและอุปสรรคในการติดต่อระหว่างกันขอได้แจ้งให้ทราบ เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นและยั่งยืนตลอดไป

ถ้าเราไม่มีบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ เสาหลัก 1 ใน 3 ของชนเผ่าไทยในอดีตไทยกับจีนวันนั้น ป่านนี้ประเทศไทยอาจต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองการปกครอง 2 ด้าน คือ จากด้านแรกอเมริกา สหภาพยุโรป และด้านสองจากจีน

คนไทยที่หมิ่นเบื้องสูงเป็นพวกเนรคุณ และไม่รู้จักสำนึก ว่าบรรพบุรุษประเทศของเรา รอดพ้นภัยคุกคามจากต่างประเทศมาได้ ก็เพราะพระบารมีพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงเสียสละเพื่อราษฎรมาอย่างยาวนานสั่งสมมานั่นเอง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยรับสั่งว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกวันนี้ที่ท่านเดินไม่ได้คล่อง เพราะทรงขับรถเข้าไปในที่ทุรกันดารและไม่มีถนนเป็นเวลานานมากๆ เลยทำให้กระดูกสันหลังของพระองค์มีปัญหา

คณะแพทย์เคยกราบบังคมทูลให้ทรงงดพระราชกรณียกิจ แต่ทรงตรัสตอบว่า งานพระองค์ไม่มีวันหยุดจะให้ทำอย่างไร พระองค์จะทรงเฮลิคอปเตอร์ เฉพาะที่ทรงมีพระวินิจฉัยว่าจำเป็นเท่านั้น เพราะการที่ทรงขับรถเอง จะทำให้มองเห็นสภาพพื้นที่จริงและจอดแวะตรวจพื้นที่ได้ง่ายกว่า “

ทั้งหลายทั้งมวล ด้วยเหตุผลเดียว...” เพราะพระราชาของไทย ท่านทรงรักคนไทยยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เอง”..คนไทยจงภูมิใจและสามัคคีกันเถิด เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงเป็นเสาค้ำยันให้ชนชาติไทยรอดจากการแตกเป็นเสี่ยงตลอดมาและตลอดไป

@ เสธ น้ำเงิน3
https://www.facebook.com/topsecretthai

รูปภาพของ แฉ..ความลับ
รูปภาพของ แฉ..ความลับ
รูปภาพของ แฉ..ความลับ

รูปภาพของ แฉ..ความลับ

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วันที่ 27 มิ.ย.57 เปิดโปง..บ่อน้ำมัน เพชรบูรณ์ มีการแอบขุดเจาะจริง จนทหารบุกยึดคืนแล้ววันที่ 27 มิ.ย.57 เปิดโปง..บ่อน้ำมัน เพชรบูรณ์ มีการแอบขุดเจาะจริง จนทหารบุกยึดคืนแล้ว

จากกรณีกรณี บริษัท อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ได้สัมปทานสำรวจปิโตรเลียมแหล่งวิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ โดยเริ่มผลิตน้ำมันดิบตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมานั้น

จนเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.57 เจ้าหน้าที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบบ่อน้ำมันดิบของบริษัท อีโก้ โอเรี้ยนท์ รีซอสเซส ในพื้นที่ ต.บ่อรัง อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์

ต่อมา วันที่ 18 มิ.ย.57 ทหารจึงนำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบเมื่อ พบการกระทำผิดจริง และหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีให้ประเทศไทยมากว่า 5 ปีแล้ว เป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

** ดูคลิปที่ https://www.facebook.com/photo.php?v=640238129385813

และ นายทรงภพ พลจันท์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงว่าบริษัท อีโค่ โอเรียน รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นสัญชาติฮ่องกง และไม่ได้ลักลอบขุด !!

และได้มีการตรวจสอบ บริษัท ขุดน้ำมันเพชรบูรณ์ อีโค่ โอเรียน เอ็นเนอยี่ (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด หุ้นใหญ่เกือบ 100% เป็น สัญชาติเบอร์มิวด้า ไม่ใช่เป็นบริษัทสัญชาติฮ่องกง ตามที่ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน แถแบบข้างๆ คูๆ

** ตามที่เคยแฉที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/247760935413941

ถัดมา น.ส.มนสิชา การุณยฐิติ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด แถลงว่าบริษัทขุดเจาะ สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เฉพาะแปลง L44-V เนื่องจากไม่ได้อยู่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ส่วนแปลงอื่นได้หยุดการผลิตตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2555 เนื่องจากสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จังหวัดเพชรบูรณ์ มีคำสั่งให้บริษัทหยุดตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 นั้น

เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ เมื่อวานนี้ คณะเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บก.ปทส.บช.ก.)

เข้าตรวจยึดพื้นที่ฐานการผลิตน้ำมันดิบแปลง L44-V/D1 , D2 , D3 , D4 รวม 4 หลุมเจาะ เนื้อที่ 7 ไร่ 58 ตารางวา ของบริษัท อีโค่ โอเรียน รีซอสเซส (ประเทศไทย ) จำกัด หมู่ 4 บ้านหนองบัวขาว ต.บ่อรัง อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ หลังตรวจสอบพบว่าที่ดินอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และยังไม่ขออนุญาตใช้พื้นที่

จากนั้น คณะเจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึกการตรวจยึด มอบให้นายฉัตรชัย นราวัฒน์ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พช.7 (น้ำร้อน) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษบริษัท ฐานกระทำผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 โดยตั้งฐานขุดเจาะสำรวจและผลิตน้ำมันดิบโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อพนักงานสอบสวน สภ.วิเชียรบุรี

ต่อมา นายนาวิน พรรณธรรม ผู้จัดการฝ่ายบริหารและมวลชนสัมพันธ์ และ น.ส.กรองกมล สันตจิตร เจ้าหน้าที่กฎหมายที่ดินบริษัท อีโค่ โอเรียน รีซอสเซส(ประเทศไทย )จำกัด ได้เข้ายื่นเอกสารแสดงทรัพย์สินของบริษัทกับพนักงานสอบสวน จากนั้นชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า “ เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย “..อ้าววว..

เพราะก่อนหน้านี้บริษัทได้ทำหนังสือสอบถามไปยัง 8 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้รับคำยืนยันว่าที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบ จึงอาศัย พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่บริษัทได้รับสัมปทานแล้วดำเนินการ

อย่างไรก็ตามเมื่อรับทราบว่าที่ดินแปลงนี้อยู่ในเขตพื้นที่ป่า ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ก็ยินดีจะทำเรื่องขออนุญาตให้ถูกต้อง และเพื่อป้องกันความเสียหาย จึงหยุดการเจาะสำรวจและผลิตน้ำมันดิบในหลุมเจาะ L44-V ทั้ง 4 หลุมเจาะไว้ก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนในข้อกฎหมาย...มันง่ายไปไหมเนี่ย ?

แล้วที่ผ่านมา 5-6 ปี ภาษีที่หลบเลี่ยงจ่ายให้รัฐไปหลายหมื่นล้าน จะจ่ายคืนให้ชาติอย่างไร? และบริษัท นี้หุ้นใหญ่บริษัทขุดเจาะน้ำมัน เพชรบูรณ์ จดทะเบียนที่เกาะฟอกเงิน บริติชเวอร์จิน-เบอร์มิวด้า โน่น..จริงๆ ใครเป็นเจ้าของหุ้นเกือบ 100% จำนวน 16.99 ล้านหุ้นนั้นกันแน่

หลักฐานชัดแอบลักลอบขุดน้ำมันมานานหลายปี ชาติเสียหายยับเยินขนาดนี้..หน่วยงานที่เคยเถียงคอเป็นเอ็น อยู่ไหน? เงินภาษีหลายหมื่นล้านที่เสียไปจะจ่ายคืนเมื่อไร ? และไม่เห็นต้องมีความจำเป็นใดๆ อนุญาตให้บริษัทนี้ขุดน้ำมันต่อ...

แย่แล้ว นักการเมืองเลือกตั้งเผาไทย ที่อ้างประชาธิปไตย แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังบริษัทนี้ ทำประเทศเจ๊งอีกแล้ว..!! นี่ถ้าไม่มี คสช.เข้ามาและยึดบ่อน้ำมันกลับไปเป็นของชาติ ปลิงต่างชาติ และนักการเมืองเห็บ โลน จะต้องดูดกินทรัพยากรของชาติ โดยหลบเลี่ยงภาษีไปอีกนานเท่าไร

แล้วประชาธิปไตย จากการเลือกตั้งซื้อเสียงแบบนี้..มันให้ประโยชน์อะไรกับคนอำเภอวิเชียรบุรี คนเพชรบูรณ์ และคนไทยทั้งชาติบ้าง ? และนักการเมืองแฝงตัวส่งบริษัท แบบนี้อีกกี่บริษัท มาแอบขุดเจาะน้ำมันไปขาย แล้วก็ลบเลี่ยงการจ่ายภาษีให้หลวง

การมีนักแสวงโชคทางการเมือง ที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งในประเทศไทย มันยังจำเป็นอยู่อีกหรือ ?

@ เสธ น้ำเงิน4
https://www.facebook.com/topsecretthai

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้
 (รูปภาพ 6 รูป)

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ไขปริศนา..ที่แท้รัฐบาลเผาไทย เวนคืนวังสระปทุมพระเทพฯ ทำทางด่วน

วันที่ 27 มิ.ย.57 ไขปริศนา..ที่แท้รัฐบาลเผาไทยปูเน่า เวนคืนวังสระปทุมพระเทพฯ ทำทางด่วน 

พลันที่ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ ผู้ซึ่งเป็นพระโอรสลำดับที่ 4 ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ กับหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา เผยแพร่ข้อความผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวร์ค ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงปลูกบ้าน โดยเป็นการใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อที่ดินแปลงนี้

ข้อความดังกล่าว ความว่า “ ผมได้รับทราบเรื่องจากผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระเทพฯ มาว่า ท่านทรงซื้อที่ดินแปลงเล็ก ในจังหวัดเชียงใหม่ และท่านทรงรับสั่งว่า จะปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ , ขอย้ำนะครับ ปลูกบ้าน ท่านรับสั่งว่า ไม่ปลูกวัง เพราะต่อไปเขา ( เขา??? ) จะไล่ฉัน ไม่ให้อยู่วังแล้ว จึงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อเอง , เหตุที่สมเด็จพระเทพฯ ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ดิน ท่านรับสั่งว่าเขาจะได้มายึดไม่ได้ ผมได้ฟังแล้วรู้สึกตีบตันในลำคอ ขอบตาร้อนผ่าว

สงสารท่านเหลือเกินแล้ว พระบิดาทรงงานหนักเพื่อชาติและประชาชนมาตลอด แต่สุดท้ายจะไม่มีอะไรเหลือ ผมในฐานะปวงชนชาวไทย ขอกล่าวคำสัตย์สาบาน ด้วยชีวิต ณ ที่นี้ว่า ผมจะไม่ยอมให้มัน ไอ้ อี ผู้ใด มากระทำต่อพระองค์เยี่ยงนั้นได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องธำรงอยู่คู่ประเทศไทย ตราบนานเท่านาน..ใครเล่าเหวยจะร่วมสู้กับกูบ้าง “..

ก็เกิดคำถามขึ้นในใจคนไทยทุกคน ว่าที่มาที่ไปเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ใครกลุ่มไหนกัน ที่กล้าอาจหาญกระทำการมิบังควรเช่นนี้ ก่อนจะมีคำเฉลยปริศนานี้ มาดูประวัติความเป็นมา “ วังสระสระปทุม “ ที่เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อนว่ามีความสำคัญต่ออารยธรรมประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างไร

วังสระปทุม ตั้งอยู่บริเวณ ถ.พระรามที่ 1 และถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยอาณาเขตทางด้านทิศเหนือ ติดคลองแสนแสบ ทิศตะวันออกติดคลองอรชร ริมวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ทิศใต้ติด ถ.พระรามที่ 1 และทิศตะวันตกติดถนนพญาไท ปัจจุบันอยู่กลางย่านเศรษฐกิจที่คึกคัก ในเขตปทุมวัน

สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีพระราชดำริ จะพระราชทานที่ดินบริเวณถนนปทุมวัน หรือถนนพระรามที่ 1 ให้เป็นสถานที่สร้างวัง ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ พระราชโอรสซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

แต่เนื่องจากในขณะนั้นพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จึงยังไม่มีการสร้างพระตำหนักขึ้น ตราบกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จึงได้พระราชทานสิทธิ์ในที่ดินให้เป็นของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ในเวลาต่อมา

หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จออกมาประทับภายนอก พระบรมมหาราชวัง พระองค์โปรดฯ ที่ดินบริเวณนี้มาก ถึงแม้ว่าในขณะนั้นบริเวณประทุมวัน ถือว่าเป็นที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ รวมทั้งการคมนาคมก็ลำบากมาก

พระองค์ทรงเตรียมการปลูกพระตำหนัก เพื่อจะเสด็จมาประทับอยู่เป็นการถาวร โดยพระองค์ทรงคิดผังพระตำหนักเอง ทั้งเรื่องทิศทางการวางตำแหน่งของอาคาร เนื่องจากทรงมีความรู้เรื่องทิศทางลมและฤดูกาลเป็นอย่างดี ทรงใช้ก้านไม้ขีด หางพลูเรียงเป็นรูปร่างห้อง และให้หม่อมเจ้าจันทรนิภา เทวกุล เขียนร่างเอาไว้ และส่งให้สถาปนิกออกแบบถวายตามพระราชประสงค์

พระตำหนักใหญ่นี้จึงได้รับแสงแดดและมีการถ่ายเทอากาศได้ดี ห้องทุกห้องได้รับลมเสมอกัน ในระหว่างการก่อสร้างพระตำหนักนั้น พระองค์ได้เสด็จมาประทับ ณ พลับพลาไม้ริมคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นที่ประทับชั่วคราวบ่อย ๆ เมื่อพระตำหนักสร้างเสร็จแล้ว สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จเข้าประทับ ณ วังสระปทุมเป็นการถาวรตราบจนเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2498

บริเวณโดยรอบวังในสมัยนั้นเดิมเป็นที่สวน สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโปรดให้ปลูกพืชผักหลายชนิด เช่น กล้วย มะม่วง ขนุน เป็นต้น โดยทรงนำผลผลิตต่าง ๆ ที่ได้นั้นสำหรับตั้งโต๊ะเสวย รวมทั้งพระราชทานผลผลิตทางการเกษตรเหล่านั้นไปยังวังเจ้านายต่าง ๆ ส่วนที่เหลือ เช่น ใบตอง เชือกกล้วย กล้วยสุก ได้นำออกจำหน่ายได้รายได้ปีหนึ่ง ๆ เป็นเงินหลายร้อยบาท โดยส่วนหนึ่งพระองค์ ทรงใช้สำหรับเลี้ยงดูข้าราชบริพารและทะนุบำรุงวังสระปทุม

หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ทรงสำเร็จการศึกษากลับมายังประเทศไทยแล้ว สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้สร้างพระตำหนักขึ้นอีกหลังเพื่อใช้เป็นที่ประทับของพระราชโอรส โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ได้ประทับอยู่พระตำหนักนี้จนสิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2472

วังสระปทุมยังคงใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เรื่อยมาจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2538 หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานวังสระปทุมให้เป็นที่ประทับของ “ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ จนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน พื้นที่ของวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นพื้นที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นที่สงบเงียบ ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่นานาชนิด ส่วนที่ 2 เป็นพื้นที่ให้เช่าทำศูนย์การค้าห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เช่น สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ สยามเซ็นเตอร์ และสยามพารากอน สำหรับพื้นที่ส่วนที่เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเทพฯ นั้น ประกอบด้วยพระตำหนักและเรือนต่าง ๆ ดังนี้

พระตำหนักใหญ่เป็นตำหนัก 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูน ทาสีเหลืองทั้งองค์พระตำหนัก โดยมีลักษณะเด่นอยู่ที่ฝาผนังใกล้เพดานชั้นบนซึ่งเป็นปูนปั้นรูปดอกไม้ ตั้งอยู่เกือบกลางของวังสระปทุม สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

พระตำหนักเขียว เป็นพระตำหนักแรก ที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับภายในวังสระปทุม สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 พระองค์จึงได้เสด็จประทับ ณ พระตำหนักแห่งนี้ พระตำหนักเขียวตั้งอยู่บริเวณริมคลองแสนแสบ เป็นพระตำหนักก่ออิฐถือปูน ทาสีเขียว เคยใช้เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์

เช่น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระมเหสีและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จมาประทับเมื่อสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดียังทรงพระเยาว์

พระตำหนักใหม่ หรือ พระตำหนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์
หลังจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา พระองค์ได้เสด็จมาประทับที่วังสระปทุมเป็นการถาวร ดังนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโปรดให้สร้างพระตำหนักแห่งนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับของพระราชโอรส

โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ทรงให้หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากรซึ่งทรงเคยรู้จักเมื่อประทับอยู่ต่างประเทศเป็นสถาปนิก โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 รูปแบบของพระตำหนักมีลักษณะเป็นแบบอังกฤษ สร้างอย่างประณีตและอยู่สบาย

พิธีอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ (พระยศขณะนั้น) และคุณสังวาลย์ ตะละภัฏ (พระยศขณะนั้น) จัดขึ้น ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานและพระราชทานน้ำสังข์ นอกจากนี้ ยังมีการจดทะเบียนเป็นหลักฐานตามแบบแผนของทางการราชสำนักด้วย

หลังจากนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จออกในพระราชพิธีถวายน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทรงรดน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์แด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณี ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรขึ้นเป็น "สมเด็จพระราชินี"

หลังจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จประทับ ณ วังสระปทุมแล้ว พระองค์ทรงระลึกถึงพระราชปรารภ แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชดำริว่าวังสระปทุมเป็นสถานที่สำคัญแห่งพระราชวงศ์และชาติ สมควรที่จะจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์จึงทรงจัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" ขึ้นภายในวังสระปทุม

เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอย่างถูกต้อง และครบถ้วน โดยทรงใช้พระตำหนักใหญ่ เป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ โดยสมเด็จพระเทพฯ เสด็จพระราชดำเนินไปในการเปิด “พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551

ภายใน “พระตำหนักใหญ่” หรือ “พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” ได้จัดแสดงเป็นห้องต่างๆ ไว้เป็น 3 ช่วงเวลา ห้อง “ยุววัฒน์รัชกรณีย์” ภายในจัดแสดงอ่างสรงของในหลวง ที่ใช้สรงเมื่อทรงพระเยาว์ จดหมายลายพระหัตถ์ของพระบรมราชชนก จดหมายของสมเด็จย่า โทรเลขของสมเด็จพระพันวัสสา เป็นต้น ซึ่งจัดแสดงใน “ห้องพิธี” และ “ห้องรับแขก”

ห้องที่จัดแสดงในช่วงที่สอง “ราชประดิพัทธภิษิต” เป็นช่วงที่สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงเสกสมรสและมีพระราชธิดาแล้วหนึ่งพระองค์ ทรงพาครอบครัวเสด็จฯ กลับจากประเทศอังกฤษและมาประทับอยู่ที่วังสระปทุมอีกวาระหนึ่ง การจัดสิ่งของเครื่องใช้ในห้องแสดงของพิพิธภัณฑ์ในช่วงนี้ ได้แก่ “ห้องเทา” และ “ห้องทรงพระอักษร”

ส่วนจัดแสดงในช่วงสุดท้าย “ราชกฤตย์กตัญญุตา” จัดแสดงใน “ห้องทรงพระสำราญ” “ห้องทรงนมัสการ” และ “ห้องพระบรรทม” เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระบรมราชชนกมีพระราชโอรสเพิ่มขึ้นอีก 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์ เสด็จกลับจากสหรัฐอเมริกาพร้อมครอบครัว

นอกจากนี้บริเวณ “เฉลียงพระตำหนักใหญ่ชั้นบน” ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโปรดที่จะประทับตรงเฉลียงบนหน้าห้องพระบรรทม ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นห้องทรงนมัสการ เมื่อทรงตื่นบรรทมแล้วจะเสด็จออกมาประทับที่เฉลียงตลอดทั้งวัน และเสวยพระกระยาหาร ณ ที่นี่ด้วย ซึ่งบริเวณนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างยิ่ง

เนื่องจากเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีอันเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คือ ทรงเป็นประธานในพิธีราชาภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ทรงรับดอกไม้ธูปเทียนแพ และพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนต์ และเจิมพระนลาฏแก่ทั้งสองพระองค์ ในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ในทะเบียนสมรสและโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรลงนามในทะเบียนนั้น

ตรงข้ามวังสระปทุม เคยมีวังกลางทุ่ง หรือ วังวินเซอร์สยาม โดยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 กลุ่มคณะราษฎร ได้ตั้งใจทุบทำลายวังกลางทุ่งทิ้ง เพียงเพื่อต้องการสร้างสนามกีฬาที่มีชื่อตนเอง ทั้งที่ห่างออกไปอีกไม่มากเป็นทุ่งนา แต่หลวงศุภชลาศัย ไม่ยอม จงใจจะเอาวังนี้ให้ได้ สร้างความโทมนัส แก่พระพันวัสสาฯ ยิ่งนัก

ด้วยวังนี้ถือเป็นตัวแทนของพระราชโอรสของพระองค์ที่สวรรณคตขณะยังทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ยินเสียงทุบวังทุกวัน ทุบวังก็เหมือนทุบตี รังแกหัวใจของพระองค์ จะเห็นได้ว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา นักการเมืองมีแต่รังแกเชื้อพระวงศ์ตลอดมา

แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันในยุคนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เมื่อการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในสมัยรัฐบาลเลือกตั้งที่แล้ว มีการอ้างว่า เคยมีกรณีพิพาทกันตั้งแต่สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยในสมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2539 ได้มีการจัดทํา ประชาพิจารณ์

เนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน ของรัฐกับประชาชนชุมชนบ้านครัว อันเนื่องมาจากโครงการทางด่วนแยกอุรุพงษ์ – ราชดำริ ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยชาวชุมชนบ้านครัวได้ร่วมกับชุมชนเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่อสู้คัดค้านโครงการดังกล่าวมานาน ตั้งแต่สมัยที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรับผิดชอบการทางพิเศษแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2536 โดยให้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นชุดหนึ่ง ทําหน้าที่ดำเนินการไต่สวนหา ข้อเท็จจริง และให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ประกาศชี้แจงแผนงาน เอกสารข้อเท็จจริง พร้อมทั้งขอมีส่วนร่วมในการไต่ถามและเสนอพยานหลักฐานและข้อมูลโต้แย้ง ตลอดจนให้การดำเนินการดังกล่าวกระทํา โดยเปิดเผยต่อสาธารณชน

หลังจากนั้น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 243/2536 ลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2536 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาประโยชน์ของถนนรวมและกระจายการจราจรต่อระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ขึ้น โดยคณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วย 27 คณะกรรมการได้สรุปผลส่ง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2536

โดยคณะกรรมการมีมติชี้ขาดว่า โครงการดังกล่าว “ ไม่เป็นประโยชน์กับการจราจร และไม่เป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังสร้างผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนบ้านครัว โดยภาระที่เกิดจะตกแก่ชุมชนบ้านครัวมากจนไม่เป็นธรรม “

ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไม่ยอมรับความเห็นของคณะกรรมการ โดยอ้างว่าข้อมูลที่คณะกรรมการนำมาพิจารณาเป็นข้อมูลเก่า จากข้อขัดแย้งดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถหาข้อยุติในเรื่องดังกล่าวได้ ทําให้ต้องมีการรับ ฟังความคิดเห็นรอบที่ 2 คณะกรรมการได้ยืนยันในมติเดิมว่า “ ควรยกเลิกโครงการ”

แต่คณะรัฐมนตรี กลับมีมติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2538 ให้ก่อสร้างต่อไปได้ โดยเลี่ยงลงไปในคลองเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด แม้ว่าการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ รัฐบาลจะมีมติแย้งกับความเห็นของคณะกรรมการ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 สมัย นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการดำเนินการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการรับ ฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์ มอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายโภคิน พลกุล) ร่วมกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีการปรับปรุง มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539

ระเบียบฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังการแสดงความคิดเห็นในปัญหา สำคัญของชาติที่มีข้อโต้เถียงหลายฝ่าย สำหรับ เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจของรัฐในการดำเนินงาน อันมีผลกระทบต่อประชาชนและยังไม่มีข้อยุติ

และเรื่องดังกล่าวก็ชะลอเงียบหายไป 16 ปี ผ่านมาหลายรัฐบาล จนต่อมาจู่ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อประชาชนกำลังสาละวนกับความเดือดร้อนน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 รัฐบาลที่แล้วที่มี ปูเน่า เป็นนายกฯ ให้ ครม.ในคอลโทรล ออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ จนมีผลวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา คือ เนื่องจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจเขตที่ดินเพื่อเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2550 เพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ ยังไม่แล้วเสร็จ

สมควรกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกา บทบัญญัติและ มาตราสำคัญ มีดังนี้

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ”
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป
มาตรา 3 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับได้มีกำหนดสี่ปี
มาตรา 4 ที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสร้างทางพิเศษ สายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่
มาตรา 5 ให้ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตาม พระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา 6 เขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกานี้ อยู่ในท้องที่เขตราชเทวีและเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร มีส่วนแคบที่สุดสามร้อยห้าสิบเมตร และส่วนกว้างที่สุดหกร้อยเมตร ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

โอ้..อะไรนี้รัฐบาลประชาธิปไตย อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แอบงุบงิบออกกฎหมายเวนคืนที่ดิน ไม่เว้นแม้แต่วังสระปทุม ของสมเด็จพระเทพฯ เป็นที่ดินพระราชทานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) , วังที่เคยประกอบพิธีทางประวัติศาสตร์ เช่น พิธีอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ (พระยศขณะนั้น) และคุณสังวาลย์ ตะละภัฏ (พระยศขณะนั้น) เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463

วังที่เคยพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระยศขณะนั้น) และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศขณะนั้น) ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 โดยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงเป็นองค์ประธาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ในทะเบียนสมรส และโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรลงนามในทะเบียนนั้น

เป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ในราชวงศ์จักรี และปัจจุบันยังเป็นที่ตั้ง “พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา อีกด้วย

นี่ยังไม่นับประวัติศาสตร์ทางความทรงจำ ที่ทรงคุณค่าต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีนาถ และเชื้อพระวงศ์อีกมากมาย ที่มิอาจพระเมินคุณค่าได้ ที่พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายมาตลอด เพื่ออุทิศทรงงานให้กับราษฎร์ของพระองค์กว่า 64 ปี

จู่ๆ รัฐบาลเผาไทย ออกกฎหมาย พรก.ฉบับเดียว เพื่อเวณคืนวังสระปทุมเก่าแก่ และสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนอีกจำนวนมาก เพียงแค่เอาไปสร้างทางด่วนให้รถวิ่ง ให้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ดำเนินการ เป็นการรังแกเบื้องสูงที่ทรงงานหนักเพื่อราษฏรมาทั้งชีวิต

แม้จะเปลี่ยนแนวทางด่วน หรือเขตเวณคืนก็ยังมิบังควรเลย และจริงๆ ไม่ควรเฉียดใกล้แต่แรกแล้วด้วยซ้ำ แล้วรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากเลือกตั้งจากประชาชน กระทำมิบังควรกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแบบนี้ มันดีตรงไหน ? ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้อง จะออกมาพูดผ่านสื่ออย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือ ตราบใดที่ พรก.เวนคืนนี้ยังไม่ประกาศยกเลิกในราชกิจจานุเบกษา และมีแผนที่แนบท้าย พรก.ค้ำอยู่แบบนี้

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ตรวจสอบแนวเขตทางพิเศษตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 เพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่แล้ว ปรากฏว่า “ที่ดินบริเวณที่เป็นที่ตั้งของวังสระปทุมอยู่ในแนวเขตพระรากฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน “ ในท้องที่เขตราชเทวี และเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554

และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยัง “รักษาอำนาจสิทธิ์การเวนคืนเรื่องดังกล่าวอยู่” ตาม พรก.เวนคืนนี้ การอ้างว่ายกเลิกโครงการไม่ได้เพราะเกรงเอกชน BECL ฟ้องเป็นเรื่องที่แถ เพราะรัฐบาลเลือกตั้งสมัยหน้า ก็อาจจะปัดฝุ่นโครงการนี้ขึ้นมาอีก ถ้าจะให้เรื่องนี้จบมีทางเดียวคือต้องยกเลิกโครงการ เพราะไม่มีความคุ้มค่า ไม่แก้ปัญหาจราจร และชาวบ้านคัดค้านมาก

เสธ เผอิญนึกขึ้นมาได้ว่า มีบุคคลสำคัญของประเทศคนหนึ่ง โดดประชุมสภาช่วงบ่าย ต้นเดือน ก.พ. 2555 แอบไปราชการลับ ว.5 ชั้น 7 ห้องสวีท หลังประกาศพระราชกฤษฎีกาเวนคืนนี้ เพราะทางด่วนที่จะก่อสร้างดังกล่าว เอื้อประโยชน์ต่อที่ดิน 2 แปลงของโครงการคอนโด ชื่อ หนึ่งไทยแท้ ซึ่งบริหารงาน โดยบริษัท บวกพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็น บริษัทลูก ของเครือหมื่นสิริ

แถมแปลนทางด่วนยังกำหนดจุดทางขึ้นลง ตรงที่ดินนั้นพอดีเป๊ะ !! ซึ่งหากโครงการทางด่วนนี้สำเร็จ จะทำให้ที่ดิน 2 แปลง ของโครงการคอนโดนี้มีผลประโยชน์มูลค่ามหาศาล..

@ เสธ น้ำเงิน3
https://www.facebook.com/topsecretthai

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสคำหยาบและภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS