You can replace this text by going to "Layout" and then "Edit HTML" section. A welcome message will look lovely here.
RSS

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สังคมนิยมคือประชาธิปไตยแท้ที่พึงปรารถนา


ความ “เท่าเทียม” ของสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “ความเหมือนกัน” เพราะสังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะเป็นปัจเจกเต็มที่ มันเปิดโอกาสให้เรามีนิสัยใจคอ วิถีชีวิต และรสนิยมตามใจชอบ แทนที่จะต้องแต่งเครื่องแบบ ถูกบังคับให้ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และมีวิถีชีวิตในกรอบศีลธรรมและรสนิยมของชนชั้นปกครอง

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

สังคมนิยมคือวิธีการจัดการบริหารสังคมมนุษย์โดยเน้นความร่วมมือกันระหว่างพลเมือง เน้นความสมานฉันท์และเน้นความเท่าเทียมกัน แทนที่จะเน้นการแย่งชิงกัน หรือการเอารัดเอาเปรียบกัน ตามระบบความคิด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ของทุนนิยมตลาดเสรี
    
สังคมนิยมเป็นระบบที่ไม่มีชนชั้น คือไม่มีเจ้านายและผู้ถูกปกครอง ไม่มีคนส่วนน้อยที่ครอบครองทรัพยากรเกือบทั้งหมดในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มีอะไรนอกจากการทำงานเพื่อคนอื่น มันเป็นระบบที่ยกเลิกนายทุนและลูกจ้าง และที่สำคัญคือเป็นระบบที่มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ แทนที่จะถูกจำกัดอยู่ในกรอบ สังคมนิยมคือสภาพมนุษย์ที่เป็นปัจเจกเสรีในระดับสูงสุดผ่านกระบวนการร่วมมือกับทุกคนในสังคม
    
ในระบบทุนนิยม ถ้าเรามีประชาธิปไตย มันก็แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าเราอาจมีโอกาสลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาล หรืออาจมีเสรีภาพในการแสดงออกบ้าง แต่เราไม่มีสิทธิ์ในการออกแบบและควบคุมเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจ การลงทุน และการผลิตถูกควบคุมโดยนายทุนในรูปแบบการผูกขาดอำนาจ และเราไม่มีโอกาสร่วมในการปกครองตนเอง เพราะเรายังมีคนมาปกครองเราภายใต้ระบบชนชั้น ในระบบทุนนิยมนี้ แม้แต่ในประเทศที่ไม่มีกฏหมายเผด็จการแบบ 112 ที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ก็ยังมีข้อจำกัดอื่นเช่นประเด็นว่าใครครองสื่อมวลชนเป็นต้น ดังนั้นสิทธิในการแสดงออกของคนธรรมดากับนายทุนสื่อต่างกันในรูปธรรม

ในสังคมปัจจุบันเราไม่มีโอกาสเลือกว่าเราจะ “เป็นใคร” หรือ “เป็นอะไร” อย่างเสรี เพราะเราต้องไปหางานภายใต้เงื่อนไขนายทุน เด็กถูกแยกและคัดเลือกตั้งแต่อายุยังน้อยว่าจะเป็น “ผู้ประสพความสำเร็จ” หรือเป็น “ผู้ไม่สำเร็จ” และเกือบทุกครั้งมันขึ้นอยู่กับว่าเด็กนั้นเกิดในตระกูลไหน มนุษย์จำนวนมากจึงไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ท่ามกลางความหลากหลายเลย
    
ความ “เท่าเทียม” ของสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “ความเหมือนกัน” เพราะสังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะเป็นปัจเจกเต็มที่ มันเปิดโอกาสให้เรามีนิสัยใจคอ วิถีชีวิต และรสนิยมตามใจชอบ แทนที่จะต้องแต่งเครื่องแบบ ถูกบังคับให้ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และมีวิถีชีวิตในกรอบศีลธรรมและรสนิยมของชนชั้นปกครอง

นักสังคมนิยมชื่อดัง เช่น คาร์ล มาร์คซ์ หรือ ลีออน ตรอทสกี้ เคยวาดภาพว่าภายใต้สังคมนิยมเราจะสามารถเป็นศิลปินหรือนักวิทยาศาสตร์ตอนเช้า และเป็นช่างฝีมือหรือนักกิฬาตอนบ่ายได้ ชีวิตแบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยสิ้นเชิง เพราะเดิมมนุษย์รักการทำงานที่สร้างสรรค์ แต่พอเราตกอยู่ในสังคมชนชั้น งานกลายเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อภายใต้คำสั่งของคนอื่น งานในระบบสังคมนิยมจะเป็นสิ่งที่เราอยากทำเพราะมันจะทำให้เรามีความสุขและรู้สึกว่าเรามีผลงานที่น่ายกย่อง
    
แน่นอนงานบางอย่างคงไม่มีวันสนุก เช่นการซักผ้า เก็บขยะ หรือการทำความสะอาดส้วม แต่งานแบบนั้นเราใช้เครื่องจักรมาทำแทนได้บ้าง และที่ต้องอาศัยมนุษย์ก็ผลัดกันทำ ไม่ใช่ว่ามีบางคนในสังคมที่ต้องทำงานแบบนี้ตลอดชีพ

สังคมนิยมคือระบบที่เราร่วมกันผลิตสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ต้องการ และเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว จะใช้ระบบการทำงานของทุกคนตามความสามารถของแต่ละคน แต่ในระบบทุนนิยมมันมีการผลิตเพื่อกำไรของนายทุนอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อกำไรลดลง ก็จะเลิกผลิต ทั้งๆ ที่คนยังต้องการสินค้ามากมาย มันจึงเกิดวิกฤตแห่งการผลิต “ล้นเกิน” ท่ามกลางความอดอยากเสมอ ทุนนิยมนี้ไร้ประสิทธิภาพจริงๆ
    
สังคมนิยมจะเป็นระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบทุนนิยม เพราะมีการวางแผนการผลิต ผ่านระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของพลเมือง ไม่ใช่นายทุนแข่งกันผลิตเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายจนเกิดการล่มจมและปิดโรงงานหรือเลิกจ้าง อย่างที่เราเห็นทั่วโลกตอนนี้ และสังคมนิยมจะไม่เปลืองทรัพยากรโดยการโฆษณาให้พลเมืองซื้อสิ่งที่ไม่ต้องการหรือไม่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นถ้าเรากำจัดการแข่งขันแบบตลาด ซึ่งเป็นแค่ระบบ “ตัวใครตัวมัน” เราจะกำจัดความจำเป็นของการทำสงครามและประหยัดงบประมาณทหารมหาศาล การจัดการบริการประชาชนในปริมาณระดับคนหมู่มาก จะยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายอีก เรามั่นใจตรงนี้ได้เพราะระบบสาธารณสุขและการศึกษาแบบ “ถ้วนหน้า” ในระบบทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการ เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการบริการประชาชนผ่านบริษัทเอกชนหลายบริษัท และพลเมืองจะสามารถควบคุมคุณภาพ และออกแบบระบบการบริการที่ต้องการได้อีกด้วย ผ่าน “สภาประชาชน” ในระดับที่ทำงาน ท้องถิ่น หรือภูมิภาค
    
สภาประชาชนที่ว่านี้ เคยถูกออกแบบมาโดยคนทำงานธรรมดาในคอมมูนปารีส หรือหลังการปฏิวัติรัสเซีย มันเป็นสภาที่เราถอดถอนผู้แทนที่เราเลือกมาได้ทุกเมื่อ เพื่อควบคุมเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นระบบที่มีเขตการเลือกตั้งในสถานที่ทำงาน เพื่อควบคุมทั้งเศรษฐกิจและการเมืองพร้อมๆ กัน และมันเป็นสภาที่ผู้แทนไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ไม่กินเงินเดือนมากกว่าคนธรรมดา ต่างจากรัฐสภาในระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง
    
ในระบบสังคมนิยมเราจะขยันลบล้างความคิดล้าหลังในหมู่พลเมือง ที่นำไปสู่การดูถูกสตรี เกย์ ทอม ดี้ คนต่างชาติ หรือคนกลุ่มน้อย และมนุษย์จะสามารถรักกันด้วยหัวใจ แทนที่จะรักกันภายใต้เงื่อนไขของเงินหรือศีลธรรมจอมปลอม
    
ระบบทุนนิยมตีค่าสิ่งแวดล้อมในโลกไม่ได้ เพราะจะมองแค่กำไรเฉพาะหน้าเสมอ นี่คือสาเหตุที่สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และเรามีปัญหาโลกร้อน และที่น่าสังเกตุคือคนที่คัดค้านการแก้ปัญหาโลกร้อนมากที่สุดในปัจจุบัน คือพวกกลุ่มทุนใหญ่และรัฐบาลของเขา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในระบบสังคมนิยมเราจะให้คุณค่ากับการปกป้องโลกรอบตัวเรา โดยไม่คิดเป็นเงินๆ ทองๆ และนอกจากนี้เราจะให้คุณค่ากับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน โดยไม่ตีเป็นราคาเงินบาทหรือดอลล่าเลย เพราะบางอย่างมันมีค่ามากกว่าเงิน
    
คงจะมีคนล้าหลังหดหู่ที่พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “มันเป็นแค่ความฝัน มันอุดมการณ์เกินไป” แต่เรามีคำตอบหลายประการ
    
ในประการแรกสังคมนิยมไม่ใช่ “สวรรค์” เพราะมันจะไม่แก้ปัญหาทุกอย่างในสังคมมนุษย์ แต่มันจะเป็นการสร้างเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความอยู่ดีกินดี เราคงต้องลองถูกลองผิดไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้น
    
ในประการที่สองสังคมนิยมสร้างขึ้นได้เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดจากความคิดคับแคบที่มาจากการกล่อมเกลาในระบบทุนนิยม นี่คือสาเหตุที่ คาร์ล มาร์คซ์ เสนอว่าเราต้องปฏิวัติ เพราะการปฏิวัติล้มรัฐนายทุน จะเป็นโอกาสทองที่เราจะร่วมกัน “ล้างขยะแห่งประวัติศาสตร์ออกจากหัวเรา”
    
ในประการที่สาม เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์ ตั้งแต่เราวิวัฒนาการมาจากลิง เราจะพบว่าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของเราเป็นประวัติของสังคมที่ไม่มีชนชั้น คือเราร่วมมือกันเต็มที่ ทุนนิยมเองก็พึ่งมีมาสองร้อยกว่าปีเอง ในขณะที่มนุษย์อยู่บนโลกมานานถึงสองแสนห้าหมื่นปี และแม้แต่ในสังคมปัจจุบัน เราก็เห็นตัวอย่างของการร่วมมือกันหรือความสมานฉันท์เสมอ สังคมนิยมใกล้เคียงกับ “ธรรมชาติมนุษย์” มากกว่าความเห็นแก่ตัวของทุนนิยม
    
อย่างไรก็ตามสังคมบุพกาลที่ไม่มีชนชั้นในอดีต ล้วนแต่เป็นสังคมที่มีความขาดแคลน มันจึงเป็นสังคมเท่าเทียมท่ามกลางความยากจน แต่ปัจจุบันเรามีความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทุกคน เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีและสบายได้ สังคมนิยมจึงต้องอาศัยความก้าวหน้าที่เคยเกิดขึ้นในสังคมชนชั้น โดยเฉพาะระบบทุนนิยม แต่ทุนนิยมมันไม่ดีพอ เพราะมันไม่สามารถแจกจ่ายทรัพยากรให้ทุกคนได้ และมันเกิดวิกฤตและสงครามเป็นประจำ มันเหมือนกับว่ามนุษย์สร้างหัวจักรรถไฟที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา แล้วขับรถไฟไม่เป็น เพราะคนขับคือนายทุนที่มีวัตถุประสงค์อื่น มันเลยตกรางเป็นประจำหรือชนกับรถไฟอื่น สังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนขับรถไฟได้อย่างปลอดภัย
    
พวกล้าหลังจำนวนมากชอบพูดว่า “สังคมนิยมล้าสมัย” แต่ระบบทุนนิยมเก่ากว่าความคิดสังคมนิยม ถ้าอะไรล้าหลังก็คงต้องเป็นทุนนิยม และยิ่งกว่านั้นการบูชาสังคมชนชั้นที่เต็มไปด้วยการกดขี่มันเป็นเรื่องโบราณและอดีต ในขณะที่การเสนอสังคมใหม่ที่เสรีและเท่าเทียมเป็นการมองอนาคต
    
ในประการที่สี่ สังคมนิยมคือความใฝ่ฝันของมนุษย์ ซึ่งในอดีตมนุษย์ที่เป็นทาสเคยฝันว่าจะมีเสรีภาพ มนุษย์ที่เป็นไพร่เคยฝันว่าจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง สตรีเคยฝันว่าจะเท่าเทียมกับชาย และสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจริงในโลกเรา แต่ถ้าเรามัวแต่ฟังพวก “กาดำหดหู่” ที่บอกว่ามัน “อุดมกาณ์เกินไป” ความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ไม่มีวันเกิด
    
ในประการที่ห้า สังคมนิยมคือเป้าหมายในจิตใจคนที่รักเสรีภาพและความเท่าเทียม แต่มันไม่เกิดง่ายๆ นักสังคมนิยมไม่เคยหลอกตัวเองว่าถ้านั่งอ่านหนังสือที่บ้านมันจะเกิดโดยอัตโนมัติ เราต้องขยันสร้างเครื่องมือที่จะล้มอำนาจเผด็จการของรัฐทุนนิยม เพื่อสร้างรัฐใหม่ของคนทำงานเครื่องมือนั้นคือพรรคปฏิวัติสังคมนิยม สหภาพแรงงาน และขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน เราต้องมีสื่อของเรา เราต้องขยายสมาชิกพรรค เราต้องฝึกฝนการต่อสู้ซึ่งแน่นอนจะมีทั้งแพ้และชนะ มีทั้งการก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยหลังสองก้าว
    
ในประการที่หก สังคมนิยมคือระบบที่เน้นวิทยาศาสตร์และความคิด “วัตถุนิยม” ที่ติดดินและเป็นรูปธรรม แต่ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่เต็มไปด้วยไสยศาสตร์ และความเชื่อเพี้ยนๆ เช่นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคนบางคน และมันเต็มไปด้วยการพยายามหลอกให้ประชาชนส่วนใหญ่กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับผลประโยชน์ของเขา เช่นการยอมรับการกดขี่ขูดรีด หรือการคลั่งชาติที่นำไปสู่การฆ่ากันเองของคนจนเป็นต้น ถึงแม้ว่าทุนนิยมเป็นระบบที่เคยถูกสร้างขึ้นมาบนความคิดวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากมันเป็นระบบที่อำนาจอยู่ในมือคนส่วนน้อย การปกป้องทุนนิยมในยุคปัจจุบันกระทำบนพื้นฐานความเพ้อฝันและการหลอกลวง มันเป็นการฝันร้ายของมนุษย์
    
นอกจากนี้จะมีคนที่คิดว่าตนเองเป็น “ผู้รู้” และมาบอกว่า “สังคมนิยมสร้างไม่ได้” เพราะมันล้มเหลวที่รัสเซีย ยุโรปตะวันออก เวียดนาม ลาว หรือจีน และแถมมันเป็นเผด็จการด้วย ใช่ระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่เคยมีหรือยังมีอยู่ในประเทศเหล่านั้น มันเป็นเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพ และยิ่งกว่านั้นมันไม่มีความเท่าเทียมด้วย มันเป็นระบบชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดพลเมืองในนามของ “สังคมนิยม” โดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเราวิเคราะห์ที่มาที่ไปของระบบเหล่านี้ จะพบว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกในรัสเซียบนความพ่ายแพ้และซากศพของการปฏิวัติหลังจากที่เลนินเสียชีวิต มันเป็นการสร้าง “ทุนนิยมโดยรัฐ” โดยสตาลิน และในประเทศอื่นๆ หลังจากนั้นก็ลอกแบบกันมา ในจีนมันเป็นการปฏิวัติชาตินิยมของพรรคเผด็จการ และถ้าเราเปรียบเทียบบางเรื่องที่เห็นในเกาหลีเหนือทุกวันนี้ เราจะพบว่าคล้ายๆ ทุนนิยมตลาดเสรีของประเทศไทยอีกด้วยการวิเคราะห์ว่าระบบ “สตาลิน-เหมา” ตรงข้ามกับสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพบหลังมันล่มสลาย แต่เป็นการวิเคราะห์ของนักมาร์คซิสต์อย่าง ลีออน ตรอทสกี หรือโทนนี่ คลิฟ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
    
บางคนอาจมองว่าไม่อยากปฏิวัติล้มทุนนิยม เขาจะ(เพ้อ)ฝันว่าทุนนิยมปฏิรูปให้น่ารักได้ เช่นการมีระบบรัฐสวัสดิการในสแกนดิเนเวียหรืออังกฤษเป็นต้น แต่เราต้องเปิดหูเปิดตาดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศเหล่านั้น เพราะวิกฤตของระบบทุนนิยมโลกในปัจจุบันกำลังกดดันให้รัฐบบาลทุกพรรคเอาใจนายทุนเพื่อเพิ่มอัตรากำไร มันแปลว่ารัฐสวัสดิการกำลังถูกทำลายลง สภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองแย่ลง และมีการชักชวนให้คนทำงานตีกันเองด้วยลัทธิเหยียดเชื้อชาติ จนในบางประเทศพรรคฟาสซิสต์ก็ขึ้นมามีบทบาทอีก เหมือนหลังวิกฤตที่เกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
    
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่สังคมนิยมคือประชาธิปไตยแท้ที่พึงปรารถนา และผมอยากจะชักชวนให้ท่านผู้อ่านร่วมกับเราในองค์กรเลี้ยวซ้าย เพื่อสร้างสร้างสังคมนิยม

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

"จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" เดินหมาก วางเบี้ย ปฏิบัติการ "ย่ำรุ่ง" ปลุก "เสรีไทย"

ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทันใด "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หายวับออกไปจากประเทศไทย

โดยทิ้งเสียงสุดท้ายในคืนก่อนปฏิวัติเพียงว่า "ถ้าเขาปฏิวัติ ผมคงต้องไป เพราะผมยอมไม่ได้ที่จะให้ทหารมายึดอำนาจ ถ้าเขาทำเช่นนั้นเท่ากับว่าเขาปล้นประชาธิปไตยไปจากคนไทย"

ในครั้งนั้น "จารุพงศ์" ยังบอกด้วยว่า "ผมอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ถ้าเขาปฏิวัติ ผมต้องไปทันที ผมไม่ได้หนี แต่ผมจำเป็นที่จะต้องออกไปตั้งหลัก เพื่อที่จะต่อสู้ และถ้าเขาปฏิวัติจริง จะทำให้ประชาชนอึดอัด และจะเข้าสู่ขบวนการใต้ดิน"

เสียงสุดท้ายก่อนที่โทรศัพท์ของ "จารุพงศ์" จะไม่สามารถติดต่อได้อีกต่อไป



"จารุพงศ์" เป็นหนึ่งในแกนนำที่ก้าวขึ้นปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง ทั้งที่สวมหมวกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังจากที่กลุ่ม กปปส. ของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เริ่มบุกยึดกรุงเทพฯ ก่อนที่จะกระทำการชัตดาวน์เมืองหลวง ช่วงนั้นยังมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ราชมังคลากีฬาสถาน จนมีเหตุปะทะ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในกลุ่มคนเสื้อแดง จนในช่วงท้าย คนเสื้อแดงต้องไปชุมนุมอยู่ที่พื้นที่รอบนอก เพื่อลดการปะทะ

หลายครั้งหลายครา ที่กลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ พร้อมที่จะปะทะกับฝั่งตรงข้าม "จารุพงศ์" จะบอกเสมอว่า "นายกฯ ปู" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะห้ามไม่ให้ประชาชนปะทะกัน และห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำร้ายผู้ชุมนุม กปปส. ทำให้หลายคนรู้สึกอึดอัดใจ ที่ไม่ได้สู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะ "นายกฯ ปู" ไม่ต้องการให้คนไทยด้วยกันต้องมาเสียเลือดเสียเนื้อ

"เราถอยกันขนาดนี้ ทหารก็เห็น ทหารทำไมยังทำแบบนี้ได้" ประโยคอึดอัดใจที่ถูกระบายระหว่างสนทนา



ต่อมาไม่นานหลังรัฐประหาร "จารุพงศ์" เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ผ่านช่องทางทางเฟซบุ๊ก กับรูปภาพลายมือที่ถูกเขียนลงในกระดาษ กับบทความที่ว่า "ผมขอยอมก้มหัวให้เสียงมหาชนคนไทย แต่ไม่ยอมก้มให้กบฏ เราต้องอยู่เคียงข้างกันครับพี่น้อง" และเป็นช่องทางเดียวที่ "จารุพงศ์" ใช้มาระยะหนึ่ง ที่มีทั้งข้อความปลุกใจ และภาพถ่ายในอิริยาบถต่างๆ หรือแม้แต่ข้อความปลุกใจให้สมาชิกพรรคฮึกเหิม และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ทอดทิ้งสมาชิกทุกคน

เข้าสู่เดือนมิถุนายน "จารุพงศ์" เริ่มหายเงียบไปอีกครั้ง โดยในช่วงนี้เป็นไปได้ว่ากำลังเป็นการเคลื่อนไหวในการย้ายที่อยู่ ไปอยู่ในที่ที่ไกลกว่าเดิม

กระทั่งวันที่ 16 มิถุนายน เฟซบุ๊กแฟนเพจ "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยเปิดให้เป็นสาธารณะ และมีภาพพื้นหลังกับข้อความที่เขียนด้วยลายมือว่า "ด้วยความเชื่อมั่นต่อพลังประชาธิปไตยของประชาชน" ลงชื่อด้วยลายเซ็น ไม่ทันข้ามวันยอดกดไลก์ ทวีขึ้นนับหมื่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

จนวันที่ 20 มิถุนายน ทางพรรคเพื่อไทยออกมาเปิดเผยว่า "จารุพงศ์" ได้ยื่นหนังสือลาออกผ่านไปรษณีย์โดยมาถึงพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน เพื่อลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยให้มีผลวันที่ 22 พฤษภาคม

22 มิถุนยน "จารุพงศ์" โพสต์ข้อความลายมืออีกครั้ง พร้อมระบุว่า "เรียน พี่น้องชาวไทยที่เคารพ ผมลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อไปเรียกร้องประชาธิปไตย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างอิสระเสรี"



จนกระทั่ง "ย่ำรุ่ง" ของวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวัน ปฏิวัติสยามประเทศ เมื่อปี 2475 ที่ผ่านมาแล้ว 82 ปี "จารุพงศ์" เลือกที่จะเล่นเกมกับทหาร โดยการออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ตั้ง "องค์กรเสรีไทย เพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย" โดยอัดคลิปผ่านทางยูทูบ และเฟซบุ๊ก "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" ความยาว 8.27 นาที

โดยมีเนื้อความบางช่วงบางตอน ระบุถึงการยึดอำนาจของทหาร ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ละเมิดหลักนิติรัฐ-นิติธรรม หลักประชาธิปไตย และยังทำลายย่ำยีสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นับเป็นอาชญากรรมอันใหญ่หลวงต่อประชาชนชาวไทย การโฆษณาว่าพวกเขาต้องกระทำการยึดอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคำสัญญาว่าจะคืนความเป็นปกติสุขให้กับสังคมไทย แท้จริงแล้วก็คือ การโกหกหลอกลวงขนานใหญ่ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นปีศาจอสุรกายเป็นเทวดาอารักษ์ จนท้ายที่สุดก็หวังให้เห็นว่า ระบอบเผด็จการดีกว่าระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้นำเผด็จการของโลกและของไทย พยายามปลูกฝัง แต่ประสบความล้มเหลวเรื่อยมา

"ประชาชนไทยผู้ตาสว่าง ที่ยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนตามหลักสากล และยอมรับในวิวัฒนาการทางสังคม จึงต้องประกาศปฏิเสธอำนาจของคณะรัฐประหาร ตลอดจนผลพวงใดๆ ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่จะนำพาประเทศไปสู่สันติสุขและความปรองดองได้เลย เพราะพวกเขานั่นเองที่ร่วมกันสมคบคิดและวางแผนก่อความวุ่นวายไปทั่วประเทศ และลักลอบสนับสนุนขบวนการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากประชาชนตั้งแต่ต้น เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในสภาพรัฐล้มเหลว วงจรประชาธิปไตยหยุดชะงัก"

แถลงการณ์ เรียกร้องให้ประชาชนหยุดความเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้กลับสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดย "องค์กรเสรีไทย" มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "The Organization of FreeThais for Human Rights and Democracy (FT-HD)"

โดย "จักรภพ เพ็ญแข" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ฉบับภาษาอังกฤษ



ในแถลงการณ์ช่วงท้ายระบุว่า เสรีไทยเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งในสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความใฝ่เสรีภาพและรักศักดิ์ศรีของสามัญชนไทยได้เป็นอย่างดี จึงถือเป็นชื่อมงคลเหมาะแก่การทำหน้าที่ประสานการต่อสู้เพื่อทวงคืนสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของประชาชนไทยจากทุกมุมโลกดังที่บรรพบุรุษของไทยได้เคยกระทำการมาแล้ว

"ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก จึงได้มีมติร่วมกันในการจัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย โดยมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นในการก่อตั้ง ดังต่อไปนี้

1.ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารและเครือข่ายอำมาตย์ เพื่อให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

2.ฟื้นฟูและเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยให้มีความถาวรและเป็นเสาหลักของสังคมไทย

3.เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค เสรีภาพ และสันติภาพ

4.ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม

5.ปฏิรูปวัฒนธรรมไทยให้สอดรับกับระบอบประชาธิปไตย

6.พัฒนาคุณภาพประชาชนไทยสู่ความเป็นสากล นับแต่บัดนี้ไปให้ถือว่าองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วเพื่อเป็นศูนย์กลางการต่อสู้ของประชาชนทุกฝ่ายที่ยึดมั่นในอุดมการณ์สิทธิมนุษยชนประชาธิปไตย และโค่นล้มระบอบเผด็จการไทย"

การเคลื่อนไหวของ "องค์กรเสรีไทย" เริ่มขยับอย่างเป็นจังหวะ มีช่องในการรุกคืบมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ต้องจับตาว่า "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" จะตั้งรับกับเกมนี้อย่างไร เพราะเกมถูกเล่นจากนอกประเทศ และโลกกว้างไกลไร้พรมแดน เกินกว่าที่จะปิดกั้น ด้วยรูปแบบเดิมๆ


............


(ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 27 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2557)

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ปฏิวัติระบบการศึกษาไทย

https://www.youtube.com/watch?v=E41udOwce2s&hd=1
ในขณะที่ “ฝูงอธิการบดีต้านประชาธิปไตย” และข้าราชการไดโนเสาร์ ชื่นชมการทำรัฐประหาร และอ้างว่าเป็น “โอกาส” ในการปฏิรูปการศึกษา เราควรมาพิจารณาการปฏิวัติการศึกษาที่จะปลดแอกประชาชนและพัฒนาการเรียนการสอนอย่างแท้จริง  แทนที่จะมาให้การศึกษามาเป็นเครื่องมือในการกดขี่ประชาชน
10168208_464872896978493_5213036452852588861_n
วิดีโอนี้ทำขึ้นประมาณสองสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร พ.ค. 57
เนื่องจากปัญหาเทคนิค หลังช่วงดนตรีคงต้องเพิ่มเสียงเพื่อฟังคำบรรยาย ขออภัยด้วย

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จนท.ตรวจการ์ดสถานบันเทิง พบเป็นทหาร-นทท.ร้องถูกทำร้ายบาดเจ็บ สั่งสอบแหกคำสั่งคสช.

เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 30 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า น.อ.คมพันธ์ อุปลานนท์ ผอ.บก.ฐท.สส. พร้อม กำลังเจ้าหน้าที่ สห.ทหารเรือ กำลังเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดฐานทัพเรือสัตหีบ พร้อมด้วย พ.ต.ท.อรุณ พร้อมพันธุ์ สว.ส.ทท.4กก.2บก.ทท. นำเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่แหล่งสถานบันเทิงย่านถนนวอล์กกิ้งสตรีท ตรวจสอบกลุ่มคนคุมผับต่างๆ หรือ การ์ด ในถนนวอล์กกิ้งสตรีท ที่มักทำตัวเป็นกลุ่มผู้มีอิทธพล หลังสืบทราบว่ากลุ่มการ์ดดังกล่าวส่วนใหญ่นั้นมักเป็นทหารที่มาทำการรับจ๊อบทำงาน

 สืบเนื่องจากนักท่องเที่ยวสัญชาติอินเดียร้องเจ้าหน้าที่ว่าถูกการ์ดที่คุมผับในวอล์กกิ้งสตรีททำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และส่วนใหญ่จะเป็นทหารมาทำงานนอกรับคุมผับจึงได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ทำการตรวจสอบสถานบันเทิงต่างๆ

 หลังจากการตรวจสอบพบการ์ด จำนวน 2 คน ยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าผับย่านวอล์กกิ้งฯ จึงได้เข้าทำการตรวยจสอบ พบว่าเป็นทหารในสังกัดฐานทัพเรือสัตหีบ ทราบชื่อคือ พันจ่าเอก สุรศักดิ์ เขจรบุตร อายุ 34 สังกัดกรรมสรรพวุธทหารเรือ และ จ่าเอก อนุวัฒ แต่งแคน อายุ 24 ปี สังกัด กองเรือยุทธการ ก่อนทำการเชิญตัวไปทำการสอบสวนยังฐานทัพเรือสัตหีบต่อไป

 ทั้งนี้หลังจากที่มีคำสั่งของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช) ให้มีการกวดขันตรวจสอบเจ้าหน้าที่ทหารที่มีการประพฤติตนนอกกรอบ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของทหารให้ดีขึ้น เนื่องจากทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศไม่ใช่ใช้กำลังที่มีอยู่แสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง 

 เบื้องต้นหากตรวจสอบพบว่ามีมูลความผิดจริง ก็จะดำเนินการตามกฎระเบียบของทหารต่อไป

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ด่วน!!ศาลตัดสินจำคุก1ปี 4เดือน "เมธี"อดีตดาราดัง คดีหมิ่น"จตุพร"โกงเงินเสื้อแดง68ล้าน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 มิถุนายน ศาลอาญา พิพากษา จำคุก 1 ปี 4 เดือน นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตดารานักแสดง และอดีตแนวร่วม นปช. ในคดีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. เป็นโจทก์ฟ้อง นายเมธี , บริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ,นายโชคชัย สุมน ,นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ , บริษัทเอ็นเอสทีนิวส์ จำกัด , บริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด และนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ รวม 7 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา จากกรณีที่นายเมธี ได้แถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน กล่าวหาว่านายจตุพร โกงเงินบริจาคของคนเสื้อแดง 68 ล้านบาท และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงขณะอยู่บนชายหาด รวมทั้งกล่าวหาว่าถูกนายจตุพร ขู่ฆ่า ส่วนจำเลยที่ 2-7 เป็นสื่อมวลชนประเภทหนังสือพิมพ์ ได้นำคำแถลงข่าวและคำสัมภาษณ์ ของนายเมธี ไปเผยแพร่ โดยแต่งเติมเนื้อหาเกินความจริง ด้วยความลำเอียงและมีอคติ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของนายเมธี ที่กล่าวหาว่านายจตุพรโกงเงินบริจาคพร้อมยืนยันข้อเท็จจริง เห็นว่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่านายจตุพรเป็นคนไม่ดี ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และมีนายเมธีเบิกความเพียงคนเดียวไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน โดยอ้างว่าได้ยินเรื่องนี้มาจากแกนนำ นปช. คนอื่นๆ แล้วนำมาแถลงข่าวเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน จึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาพิพากษา จำคุก 2 ปี ปรับ 1 แสนบาท แต่คำให้การเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณาคดี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 66,666 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้เผยแพรคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ

ส่วนจำเลยที่ 2-7 ซึ่งเป็นสื่อมวลชน และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ศาลเห็นว่าการนำถ้อยคำไปเผยแพร่ สาระเนื้อหาสำคัญไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และไม่มีพยานหลักฐานว่า สมคบกับนายเมธีเพื่อหมิ่นประมาทนายจตุพร พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังนายเมธี ระบุว่า จะใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์เพื่อต่อสู้คดี พร้อมเปิดเผยว่าขณะนี้ตนเองยังอยู่ในความดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ตามโครงการคุ้มครองพยาน เป็นเวลา 4 ปีแล้ว เนื่องจากตนเป็นพยานสำคัญในคดี 24 แกนนำ นปช. ก่อการร้าย และในช่วงแรก ก็ถูกข่มขู่ คุกคาม มาตลอด แต่เชื่อว่าพยานหลักฐานที่ตนเองมี ทั้งด้านข้อมูลและภาพถ่ายจะเป็นพยานสำคัญในคดี และสามารถเอาผิดแกนนำนปช.ได้

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หมายเหตุประเพทไทย : สัญญะในสถาปัตยกรรมคณะราษฎร Mon, 2014-06-30 09:33

https://www.youtube.com/watch?v=zyWU64AEaUw

หมายเหตุประเพทไทย สัปดาห์นี้พบกับ อรรถ บุนนาค และพิธีกรรับเชิญ รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มาคุยกันถึงเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างของไทยในยุคหลังการอภิวัฒน์สยาม หรือเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร
อาคารและสิ่งปลูกสร้างสมัยที่คณะราษฎรอยู่ในอำนาจทางการเมืองระหว่าง พ.ศ.2475-2490 เป็นรูปแบบ art deco ของตะวันตกซึ่งรับอิทธิพลจากยุคอุตสาหกรรม โดยจะลดทอนรายละเอียดของลวดลายประดับ เน้นลายเส้นและรูปทรงเรขาคณิตในการออกแบบ และเน้นให้เห็นถึงเนื้อแท้ของวัสดุ เช่น กระจก เหล็ก คอนกรีต โดยก่อนหน้านี้สถาปัตยกรรมแบบ art deco ในสยามเริ่มมีตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 6  เช่น อาคารพาณิชย์บนถนนเยาวราช และศาลาเฉลิมกรุงที่สร้างสมัยรัชกาลที่ 7
สิ่งที่เป็นสัญญะในสถาปัตยกรรมสมัยคณะราษฎร ได้แก่ รัฐธรรมนูญ และหลัก 6 ประการ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของอาคารและสิ่งปลูกสร้างในยุคนั้น นอกจากนั้นหลังคาของอาคารสมัยคณะราษฎรที่มีลักษณะแบนราบ ก็เป็นการสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์อีกด้วย สถาปัตยกรรมยุคคณะราษฎรที่สำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เช่น ตึกโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ อาคารศาลฎีกา ศาลากลางหลังเก่า จ.อยุธยา และกลุ่มอาคารของคณะราษฎรใน จ.ลพบุรี

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

องค์กรเลี้ยวซ้าย

http://turnleftthai.blogspot.com/search/label/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยควรเลิกหลอกตัวเอง

เสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยควรเลิกหลอกตัวเอง

กองบรรณาธิการเลี้ยวซ้าย

รัฐประหารรอบล่าสุดดูเหมือนจะใกล้ถึงเป้าหมาย เหลือแค่การล้มรัฐมนตรีรักษาการ แล้วแต่งตั้งนายก ม๗ ก็จบ และที่แกนนำ นปช. ประกาศว่าจะ “สู้จนถึงที่สุด” นั้นมีความหมายอะไรในรูปธรรม? หรือเป็นเพียงคำพูดที่ไร้ความหมายเพื่อเอาใจคนรักประชาธิปไตย?



     มาถึงจุดนี้แล้ว ชาวเสื้อแดงและคนรักประชาธิปไตยอื่นๆ ควรทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ม็อบพันธมิตรแรกปรากฏตัว
     มีการยุบสภาและประกาศการเลือกตั้งสองครั้ง โดยหวังว่าจะพิสูจน์กับประชาชน ว่าการพยายามล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นขาดความชอบธรรม แต่ทั้งสองกรณี ภายใต้ทักษิณครั้งหนึ่ง และภายใต้ยิ่งลักษณ์อีกครั้ง เพียงแต่ทำให้ฝ่ายประชาธิปัตย์และพวกต่อต้านการเลือกตั้ง บอยคอตการเลือกตั้ง ก่อม็อบต่อไป แล้วในที่สุดจบลงด้วยรัฐประหารทหาร หรือรัฐประหารตุลาการ
     มีการเลือกตั้ง 4 ครั้ง ฝ่ายไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทย ชนะทุกครั้ง โดยไม่มีหลักฐานการโกงแต่อย่างใด แต่กลับจบลงด้วยการล้มรัฐบาลด้วยวิธีต่างๆ ดังนั้นการเลือกตั้งรอบต่อไป ถ้าเกิดจริงและไม่โดนเปลี่ยนกติกาจนไร้ประชาธิปไตย ก็คงไม่แก้ปัญหาอะไรเลย เพราะมันไม่พิสูจน์อะไรที่ใครๆ ไม่ทราบมาก่อน มันไม่ตบหน้าทหารหรือม็อบสุเทพ และมันไม่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของอำมาตย์ เพราะอำมาตย์ต่อต้านประชาธิปไตย และไม่เคารพการเลือกตั้งหรือเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ อาจไม่มีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ด้วยซ้ำ
     มีการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงเพื่อไล่รัฐบาลเถื่อนของอภิสิทธิ์ที่ก่อตั้งในค่ายทหาร เสื้อแดงจำนวนมากโดนทหารฆ่าอย่างเลือดเย็น ในที่สุดในปีต่อไปก็มีการยอมให้มีการเลือกตั้ง ยอมให้ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นนายก แต่ก็ถูกล้มในที่สุด
     ถ้าเราถูกบังคับให้มีนายก ม๗ และการเปลี่ยนกติกาเพื่อโกงการเลือกตั้งโดยอำมาตย์และประชาธิปัตย์ เราจะออกมาชุมนุมแบบเดิม หรือจะยกระดับการต่อสู้? และถ้าจะยกระดับการต่อสู้มันหมายความว่าอะไรในรูปธรรม และใครจะนำการต่อสู้ดังกล่าว? แต่แน่นอน ถ้าเราไม่ออกมาสู้เพราะเราเบื่อ น้อยใจ หรือหดหู่ ฝ่ายอำมาตย์ก็จะชนะ
     ที่สำคัญคือใครตั้งรัฐบาล ไม่ได้แปลว่าคุมอำนาจรัฐโดยอัตโนมัติ มันชัดเจนว่าอำมาตย์คุมอำนาจรัฐ โดยเฉพาะ ทหาร ศาล ข้าราชการชั้นสูง และสื่อมวลชนส่วนใหญ่ และพวกนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการและแกนนำเอ็นจีโอด้วย นอกจากนี้ตำรวจก็ไม่รู้จะรับคำสั่งจากใคร ตามลำพังก็ไม่เคยก้าวหน้าอะไร และไม่มีอำนาจมากมาย ตอนนี้ก็แค่กล้าๆ กลัวๆ ส่วน ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ นักการเมืองเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ก็ไม่อยากแตกหักกับพวกอำมาตย์ที่คุมอำนาจรัฐ เป้าหมายของเขาคือเพียงอยากกลับเข้าสู่สมาคมอำมาตย์เท่านั้น
     เพื่อนๆ เสื้อแดง เพื่อนๆ ผู้รักประชาธิปไตย ท่านคิดหรือว่าเราจะมีประชาธิปไตยได้ ถ้าไม่กำจัดอำมาตย์แบบถอนรากถอนโคน? ท่านยังฝันต่อไปหรือว่าพรรคเพื่อไทยหรือทักษิณหรือแกนนำ นปช. จะสู้อย่างจริงจังในรูปธรรม? ทักษิณเคยมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยจริงหรือ? ในความเป็นจริงเขาสนใจประชาธิปไตยแค่ในกรณีที่ตนเองชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่สนใจสิทธิเสรีภาพพอที่จะยกเลิก 112 หรือละเว้นการก่ออาชญากรรมกับคนมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ คนแบบนี้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างถึงที่สุดได้อย่างไร?
     หรือท่านยังฝันอยู่ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาลจะเกิดประชาธิปไตยแท้? หรือท่านยังฝันอยู่ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะเข้ามาแก้ปัญหาการเมืองให้เรา?
     ลองพิจารณาให้ดี ความฝันแบบนี้ ที่กล่าวถึงข้างบน ทั้งหมดเป็นความฝันประเภทที่เราฝากให้ผู้ใหญ่มาแก้ไขปัญหาให้เรา และสร้างประชาธิปไตยให้เรา มันเป็นความฝันของทาส
     เราจะรอการล้มรัฐบาลกี่รอบ การก่อตั้งเผด็จการกี่รอบ เราถึงจะเข้าใจว่าเราเองต้องนำตนเองร่วมกับคนอื่น เพื่อสร้างประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพจากล่างสู่บน?
     ถ้าเราเข้าใจว่าการสร้างประชาธิปไตยในไทย คงต้องอาศัยการโค่นโครงสร้างอำมาตย์ เช่นการปลดผบ. ทหาร ลดงบประมาณทหาร ตัดอำนาจทหาร ปลดศาลตุลาการ ยุบองค์กรที่โกหกว่า “อิสระ” ปลด สว.แต่งตั้ง และยึดสื่อมวลชนมาเป็นของประชาชน เราก็คงหลอกตัวเองว่า “เป็นเรื่องง่าย” ไม่ได้ แน่นอนมันไม่ง่าย มันจะใช้เวลา แต่มันจำเป็นถ้าเราจะร่วมกันเป็นพลเมืองที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
     พวกเราในองค์กรเลี้ยวซ้ายพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าการต่อสู้กับอำมาตย์ต้องอาศัยการจัดตั้งมวลชน อย่างเป็นระบบ อิสระจาก นปช. และเพื่อไทย ต้องพัฒนากลุ่มคนก้าวหน้าจากเครือข่ายหลวมๆ ให้การเป็นองค์กรจัดตั้งให้ได้ ต้องมีนโยบายและเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่ชัดเจน ต้องมีคณะทำงานที่เป็นแกนนำ ต้องเชื่อมกับหลายส่วนของสังคม มีงานรณรงค์ในหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องปากท้องและการเมืองภาพรวม ต้องมีและขยายสมาชิก มีผู้ปฏิบัตงานที่ผ่านการฝึกฝน ในงานภาคปฏิบัติการ และงานทางความคิด โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว และต้องมีสื่อของเราเอง
     เราไม่ได้ “ขอให้มิตรสหายมาขึ้นอยู่กับเรา” เราขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเป็นระบบในลักษณะเท่าเทียมกัน
     ที่สำคัญยิ่งคือ เราต้องสนใจ “อำนาจ” เราต้องรวบรวม “พลัง” เพื่อเผชิญหน้ากับอำนาจและพลังของฝ่ายอำมาตย์แบบมืออาชีพ เพราะ “อำนาจ” และ “พลัง” ของฝ่ายเราหาได้ในหมู่คนทำงานกรรมาชีพ โดยเฉพาะเมื่อนัดหยุดงาน และต้องสมทบกับพลังมวลชนของเกษตรกรรายย่อย

     ความจริงนี้ ไม่ได้งอกมาจากสมองใคร มันมาจากบทเรียนในการล้มอำมาตย์หรือต่อสู้กับอำมาตย์ในตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา ยุโรป และจากไทยเองในอดีต ที่สำคัญคือมันทำได้ ถ้าเราอยากทำจริง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ต้องเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน

ต้องเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตอนนี้มันชัดเจนว่าแนวประนีประนอมของพรรคเพื่อไทย และ แนว นปช. ที่เดินตามเพื่อไทย ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
     ถ้าเราเข้าใจลักษณะของ “รัฐ” ในระบบการเมืองของโลก ตามที่ มาร์คซ์ เองเกิลส์ และเลนิน เคยอธิบาย เราจะเข้าใจว่าการเป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภาประชาธิปไตยทุนนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการคุมอำนาจรัฐเลย เพราะรัฐประกอบไปด้วย ทหาร ศาล ตำรวจ และคุก และรัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองทุกซีกทุกก๊ก เพื่อกดขี่ชนชั้นอื่นๆ มันไม่เคยเป็นกลางและไม่เคยเป็นประชาธิปไตย แม้แต่ในประชาธิปไตยตะวันตกก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าในประเทศดังกล่าวพลังของคนทำงานและประชาชนโดยทั่วไป คอยห้ามไม่ให้รัฐล้ำเส้นมากเกินไปเท่านั้น แต่ทุกอย่างไม่แน่นอนมั่นคง พื้นที่ประชาธิปไตยไม่ได้แช่แข็ง มันขยายและมันหดได้



     วันนี้เราเห็นอำนาจรัฐ ผ่านตลก.(ร้าย)รัฐธรรมนูญ โค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สาม ก่อนหน้านั้นเราเห็นทหารทำรัฐประหาร และเห็นทหารเข่นฆ่าคนเสื้อแดงที่ท้าทายเผด็จการและอำนาจรัฐ โดยเรียกร้องประชาธิปไตย เครื่องไม้เครื่องมือในการใช้อำนาจรัฐมีอีกมากมาย เช่นกระบวนการที่คนใหญ่คนโตแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี หรือการใช้วุฒิสภาหรือหัวหน้าสถาบันวิชาการ ในการเชียร์พวกที่มุ่งหวังลดพื้นที่ประชาธิปไตย ส่วนม็อบสุเทพก็เป็นเพียงอันธพาลชนชั้นกลาง เป็นคนส่วนน้อย และผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์ของพรรคประชาธิปัตย์ เขาพยายามสร้างภาพว่าเป็นมวลมหาประชาชน แต่การที่เขาทำอะไรก็ได้บนท้องถนน แสดงว่าส่วนต่างๆ ของรัฐสนับสนุนเขา ถือว่าม็อบสุเทพเป็นเครื่องมือที่ให้ “เอกชน” ทำแทน
     ทักษิณและนักการเมืองพรรคเพื่อไทยเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นปกครอง และเขาเคยเป็นก๊กหนึ่งของรัฐไทย เพราะรัฐไม่ได้มีลักษณะรวมศูนย์เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน มันเป็น “คณะกรรมการเพื่อร่วมบริหารผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน” อย่างที่ มาร์คซ์ กับ เองเกิลส์ เคยเขียนไว้ และมันมีความขัดแย้งภายในด้วย นี่คือสาเหตุที่ทักษิณและนักการเมืองเพื่อไทยไม่ต้องการนำการต่อสู้ที่แตกหักกับกลุ่มอำนาจอนุรักษ์นิยมของรัฐ
     แต่ถ้าไทยจะเป็นประชาธิปไตย เราต้องเปลี่ยนการเมืองและสังคมแบบถอนรากถอนโคน ถ้าแค่เล่น “ปฏิกูลการเมืองก่อนเลือกตั้ง” มันไม่มีวันที่จะขยายพื้นที่ประชาธิปไตยได้เลย

     สิ่งที่ต้องถูกเปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคนมีมากมาย แต่เรื่องหลักๆ เฉพาะหน้าคือ

1. ต้องสร้างพลังของคนธรรมดา เพื่อห้ามการทำลาย หรือจำกัด เสรีภาพประชาธิปไตย และเพื่อให้มีการเคารพพลเมือง ทุกคนต้องมีหนึ่งเสียงเท่ากัน พลังนี้คนอื่นสร้างให้ไม่ได้ ต้องสร้างจากรากหญ้าข้างล่าง
2. ต้องยกเลิกกฏหมาย 112, พรบ.คอมพิวเตอร์ และกฏหมายหมิ่นศาลในรูปแบบปัจจุบัน เพื่อเปิดให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามกระบวนการประชาธิปไตยสากล ซึ่งแปลว่าต้องปล่อยนักโทษทางความคิดเช่น สมยศ พฤกษาเกษมสุข และคนอื่น
3. ต้องยกเลิกองค์กรที่อ้างความอิสระ และยกเลิกศาลตุลาการในรูปแบบที่เป็นอยู่ เพราะองค์กรที่อ้างความอิสระทั้งหลายไม่เคยเป็นกลาง และยิ่งกว่านั้นองค์กรที่มาจากการแต่งตั้งโดยทหารหรือฝ่ายเผด็จการอื่นๆ เช่นตลก.(ร้าย)รัฐธรรมนูญ มักใช้อำนาจเผด็จการเหนือผู้แทนที่ได้รับเลือกมาจากประชาชน ที่สำคัญคือแนวคิดเรื่อง องค์กรอิสระ เป็นแนวคิดที่มองว่าพลเมืองส่วนใหญ่ไม่มีวุฒิภาวะในการลงคะแนนเสียง จึงต้องให้ ผู้รู้คอยควบคุมตรวจสอบ ในอนาคตเราจะต้องคานอำนาจหรือตรวจสอบรัฐบาลและรัฐสภาด้วยองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
4. ต้องลดบทบาททางการเมืองและสังคมของทหารลงไป เพื่อไม่ให้ทำรัฐประหารหรือแทรกแซงการเมือง ซึ่งแปลว่าต้องลดงบประมาณ ปลดนายพลจำนวนมาก และนำทหารออกจากสื่อมวลชนและรัฐวิสาหกิจ
5. ต้องสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ด้วยการนำ “ฆาตกรรัฐ” มาขึ้นศาล ไม่ว่าจะเป็นทหารระดับสูง หรือนักการเมืองอย่าง อภิสิทธ์ สุเทพ หรือ ทักษิณ และต้องมีการยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศอีกด้วย
6. ต้องเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวยอย่างถ้วนหน้า เพื่อลดความเหลื่อมล้ำผ่านการสร้างรัฐสวัสดิการ


ถ้าจะทำสำเร็จต้องทำพร้อมกัน และทำด้วยความมั่นใจ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอาศัยพลังที่อยู่นอกกรอบรัฐในการกระทำ คือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยนั้นเอง ซึ่งตอนนี้มีอยู่แล้วในรูปแบบเสื้อแดง อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวต้องอาศัยแนวความคิดทางการเมือง ซึ่งในขบวนการเสื้อแดงมีหลายแนว ในเมื่อแนวหลักของ นปช. กับเพื่อไทย ใช้ไม่ได้ และไม่มุ่งหวังสร้างประชาธิปไตยจริง กลุ่มคนที่อยากเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน ต้องพยายามรวมตัวกันเป็นองค์กร เพื่อช่วงชิงการนำ และเพื่อลงมือสร้างสายสัมพันธ์กับขบวนการสหภาพแรงงานที่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย เพราะในสังคมทุนนิยม กรรมาชีพมีพลังถ้ารู้จักใช้

Read Comments
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS