วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557
บทเรียนสำคัญจากเขมรแดง – การจัดการความแตกต่างคนในชาติ
เมื่อ วานนี้ศาลพิเศษของกัมพูชาอ่านคำตัดสินที่ถือว่าเป็นกรณีประวัติศาสตร์หน้า สำคัญของเขมรแดง และของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยก็ว่าได้
ศาลตัดสินให้นายเขียว สัมพันและนายนวน เจีย อดีตผู้นำเขมรแดงสองคนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานก่ออาชญากรรมกับมนุษยชาติ
สิ้น เสียงคำตัดสินของผู้พิพากษา ชาวกัมพูชาที่ร่วมรับฟังการพิจารณาคดีต่างปรบมือแสดงความยินดี ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากลหรือ Amnesty International แอมเนสตี้แสดงความเห็นว่านี่เป็นการผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม
จำนวน ชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตในระหว่างปี พ.ศ. 2518 – 2522 นั้นเชื่อกันว่ามีร่วมสองล้านคน ช่วงนั้นเป็นสมัยยุคที่เขมรแดงเรืองอำนาจ แต่ต้องใช้เวลากว่าสามสิบปีจึงได้เริ่มพิจารณาคดีนี้โดยศาลพิเศษที่สนับ สนุนโดยสหประชาชาติในปีพ.ศ. 2550
ศาลตัดสินว่านายนวน เจีย อายุ 88 ปี และนายเขียว สัมพัน อายุ 83 ปี มีความผิดฐาน “ฆาตกรรมแบบขุดรากถอนโคน ประหัตประหารทางการเมืองและกระทำการอันไร้มนุษยธรรม เกี่ยวพันกับการหายตัว การบังคับฝืนใจ และการโจมตีต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
โจ นะธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีที่ไปติดตามข่าวในกรุงเนมเปญบอกว่านายนวน เจียซึ่งยืนขึ้นฟังคำพิพากษาไม่ไหวดูจะไม่แสดงความรู้สึกมากนัก แต่เขียว สัมพันดูมีอาการโกรธอย่างชัดเจน ทั้งคู่ไม่ยอมให้ครอบครัวไปฟังคำพิพากษา พวกเขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดบอกว่าเป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นทั้งสิ้นและทนาย ความของทั้งสองประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์
คนที่ไปรอฟังคำ พิพากษา ส่วนหนึ่งคือคนที่รอดชีวิตในช่วงนั้น บางคนบอกว่าโล่งใจเหมือนภาระถูกปลดจากบ่า ขณะที่บางคนก็บอกว่า มันน้อยไปสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ ซวน มอม วัยเจ็ดสิบห้าบอกกับเอพีว่า ไม่มีวันลืมเรื่องที่เกิดขึ้น เธอเสียสามีและลูกสี่คนที่ตายเพราะไม่มีอาหารกิน “ยังจำวันที่ฉันเดินไปตามถนนเพื่อออกจากพนมเปญ ไม่มีอาหารหรือแม้แต่น้ำให้กิน”
เป็นที่เข้าใจกันว่า นวน เจียเป็นผู้ผลักดันในเรื่องอุดมการณ์ ขณะที่นายเขียว สัมพันเป็นคนที่ออกนอกหน้าต่อสาธารณะให้กับเขมรแดง พวกเขาเป็นผู้นำสูงสุดของเขมรแดงที่ถูกนำตัวพิจารณาโทษ
บี บีซีไทยได้คุยกับทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการอิสระและคณะกรรมการศูนย์แม่น้ำโขงศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เขาสะท้อนบทเรียนจากเรื่องเขมรแดงกับการยึดติดกับอุดมคติทางการเมืองและการ ใช้อำนาจสังหารหมู่ประชาชนว่า เป็นผลมาจากความบ้าคลั่งลิทธิ และการทดลองอุดมคติที่ไม่สอดคล้องกับสังคม โดยเขมรแดงมีจุดประสงค์จะสร้าง "สังคมอุดมคติ สังคมที่ไม่พึ่งทุนนิยม เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และการผลิตแบบพึ่งพาช่วยเหลือกัน โดยมีชนชั้นกรรมาชีพเป็นตัวขับเคลื่อน”
แต่ ในทางปฎิบัติ เขมรแดงกวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญและเมืองสำคัญอื่นๆ บังคับให้ทำการเกษตรและใช้แรงงานร่วมกันในพื้นที่ชนบท “พวกที่กระด้างกระเดื่องจะถูกกำจัดทิ้ง แต่คนส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการถูกบังคับใช้แรงงาน และความอดอยาก ไปอยู่กลางดินกินกลางทราย ประชากรที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของกลุ่มเขมรแดงเรียกว่ามีจำนวนเกือบ 1ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศในขณะนั้น (ประมาณ 7.5 ล้านคน ใน พ.ศ. 2518)”
ทรง ฤทธิ์ เล่าว่ากัมพูชาในขณะนั้นอยู่ใต้ภาวะความขัดแย้งและตกต่ำ ผู้นำเขมรแดงจึงมีความคิดที่จะกลับสู่ยุคความรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรและ สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง
“เราควรเรียนรู้เรื่องความ ขัดแย้งภายในประเทศที่เกิดจากความเชื่อทางการเมืองที่ต่างกัน แต่ไม่ยอมคุยกัน หรือคุยกันไม่รู้เรื่อง ... สำหรับเขมรแดงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนชาติเดียวกันใช้ภาษาเดียวกันต้องมาฆ่า กันเองเพียงเพราะบ้าคลั่งลัทธิและอำนาจ จนทำให้ถึงกับสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน”
ทรง ฤทธิ์ สรุปว่า ด้วยวิธีคิดที่ผิดพลาดและปฏิบัติการที่ผิดมนุษยธรรม จึงไม่น่าแปลกใจที่ศาลตัดสินอดีตผู้นำเขมรแดงว่าเป็นอาชกรสงคราม “ไม่มีลัทธิการเมืองใดสามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมดโดยไม่ประยุกต์ให้เข้ากับ ปัจจัยภายในประเทศ ความเหมาะสมของแต่ละสังคม และความเป็นมนุษย์”
จาตุรนต์" โดนสั่งฟ้อง 3 ข้อหา อัตราโทษ 14 ปี - ชี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม
เวลา 14.45 น.
วันที่ 4 ส.ค. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์
นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ทนายความนายจาตุรนต์ ฉายแสง
อดีตรมว.ศึกษาธิการ และอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า
อัยการทหารสั่งฟ้องคดีนายจาตุรนต์ไปที่ศาลทหารเรียบร้อยแล้ว 3 ข้อกล่าวหา
คือ 1.ฝ่าฝืนคำสั่ง
คสช. 2.ยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 3.พ.ร.บ.คอมฯ
อัตราโทษรวมทั้งหมด 14 ปี อย่างไรก็ตาม ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวแล้ว
ด้วยหลักทรัพย์ค้ำประกัน 400,000 บาท
พร้อมเงื่อนไขเช่นเดิม โดยกระบวนการต่อจากนี้ศาลทหารจะนัดหมายนายจาตุรนต์
ภายใน 30 วัน
เพื่อทำคำให้การสู้คดีต่อไป
ด้านนายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์ ว่า รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิจารณา
เนื่องจากการไปแถลงข่าวที่สมาคมผู้สือข่าวต่างประเทศของตน มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสงบนั้น
กลับกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่พนักงานสอบสวน และอัยการทหารใช้ในการสั่งฟ้องตนทั้ง 3 ข้อหา
และเมื่อเป็นดังนั้น
สิ่งที่ตนทำได้คือตั้งทีมทนายความขึ้นมารวบรวมข้อมูลหลักฐานและพยานเพื่อต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
และถึงแม้ว่าการได้รับอนุญาตประกันตัวจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข
แต่ตนก็จะขอแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริตต่อไป จนกว่าบ้านนี้เมืองจะเป็นประชาธิปไตย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)